วันอังคารที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2557

10 เหตุการณ์เครื่องบินหาย-ตก ที่ลึกลับและแปลกที่สุดในโลก


​​10 เหตุการณ์เครื่องบินหาย-ตก ที่ลึกลับและแปลก​ที่สุดในโลก


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

            กลายเป็นข่าวใหญ่ที่เรียกความสนใจจากคนทั้งโลกได้ในชั่วไม่กี่ชั่วโมง กับการหายไปอย่างไร้ร่องรอยของสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส เที่ยวบินที่ MH370 ซึ่งสูญหายไปพร้อมผู้โดยสารและลูกเรือ 239 ชีวิต โดยสัญญาณการติดต่อหายไปจากจอเรดา​ร์​ขณะบินอยู่เหนือทะเลจีนใต้ทางตะวันออกของมาเลเซีย ระหว่างเดินทางมุ่งหน้าจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ไปยังกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2557 ปัจจุบันการค้นหายังคงเดินหน้าต่อไป ท่ามกลางคำถามที่ค้างคาใจทุก ๆ ฝ่ายว่า เครื่องบินทั้งลำ จู่ ๆ จะหายไปโดยไม่ปรากฏร่องรอยอะไรไว้เลยได้อย่างไรกัน แต่อย่างไรก็ดี นอกจากกรณีของเครื่องบินจากสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์สนี้แล้ว ก็ยังมีสถานการณ์คล้าย ๆ กันที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วก่อนหน้า มีทั้งที่สาเหตุการตกคลี่คลายได้แล้ว และที่เป็นปริศนาต่อไป ไม่มีใครทราบแน่ชัดถึงสาเหตุของโศกนาฏกรรมแห่งความสูญเสีย ลองมาดู 10 เหตุการณ์เครื่องบินหาย​และเครื่องบิน​ตกที่ลึกลับ​และแปลก​ที่สุดในโลก ที่เว็บไซต์มิเรอร์ได้รวบรวมเอาไว้ดังต่อไปนี้กันค่ะ


1. การหายไปอย่างไร้ร่องรองของอะเมเลีย เอียร์ฮาร์ท ขณะบินสำรวจโลก 

อะเมเลีย ล็อกฮาร์ท

            อะเมเลีย เอียร์ฮาร์ท ชาวอเมริกัน นักบินหญิงคนแรกที่บินเดี่ยวข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกได้สำเร็จ ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยขณะบินอยู่เหนือบริเวณเกาะฮาวแลนด์ ทางตอนกลางของมหาสมุทรแปซิฟิก พร้อมกับ เฟร็ด นูแนน สหายนักสำรวจ ขณะนำเครื่องบินล็อกฮีด อิเล็กทรา บินสำรวจโลก เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 1937 
            ชะตากรรมของทั้งคู่เป็นอย่างไรยังคงเป็นปริศนา บ้างว่าเชื้อเพลิงเครื่องบินหมดกลางทาง และตกลงสู่มหาสมุทรเบื้องล่าง บ้างว่าเพราะเธอเป็นสายลับให้ประธานาธิบดีแฟรงกลิน ดี. รูสเวลต์ จึงถูกจับไว้โดยชาวญี่ปุ่น บ้างก็ว่าเครื่องบินตกแถบชายฝั่งประเทศญี่ปุ่น นักบินบาดเจ็บ และเสียชีวิตในที่สุด ร่างของทั้งคู่ถูกกินและย่อยไปโดยปูชายฝั่งที่มีมากมาย บ้างบอกว่าเธออาจยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่งในนิวเจอร์ซี แต่เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุลไปแล้ว และแม้กระทั่งที่เชื่อว่าทั้งคู่ถูกลักพาตัวไปโดยมนุษย์ต่างดาวก็มีเช่นกัน ซึ่งประการหลังสุดนี้ ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างละครโทรทัศน์ตอนหนึ่งของStar Trek : Voyager ในปี 1995 ด้วย





2. การหายสาบสูญของเกล็น มิลเลอร์ เหนือช่องแคบอังกฤษ 

เกล็น มิลเลอร์

            เกล็น มิลเลอร์ นักดนตรีแจ๊สชาวอเมริกัน ในฐานะหัวหน้าวงดนตรีแอร์ฟอร์ซแบนด์ ของกองทัพสหรัฐฯ ทำหน้าที่ผู้มอบเสียงเพลงและความรื่นรมย์ให้แก่กองกำลังของฝ่ายสัมพันธมิตร ในช่วงฤดูร้อนของปี 1944

            มิลเลอร์ใช้เวลาในค่ำคืนสุดท้ายของชีวิตอยู่ที่หมู่บ้านมิลตัน เอิร์นเนส ในมณฑลเบดฟอร์ดเชียร์ ประเทศอังกฤษ โดยไม่รู้ตัวมาก่อนเลยว่าเครื่องบินเครื่องยนต์เดี่ยวที่เขาโดยสารในวันรุ่งขึ้น จะพาเขาหายสาบสูญไปบริเวณเหนือช่องแคบอังกฤษ ในวันที่ 14 ธันวาคม 1944 ขณะกำลังเดินทางมุ่งหน้าไปทำหน้าที่ต่อที่ประเทศฝรั่งเศส

            มีการคาดเดาสาเหตุของการหายสาบสูญของมิลเลอร์ไปต่าง ๆ นานา หลายกระแสเชื่อว่าเครื่องบินลำที่เขานั่งถูกลูกหลงจากฝ่ายเดียวกันเอง หลังจากที่เครื่องบินทิ้งระเบิด แลงคาสเตอร์ บอมเบอร์ เพิ่งได้รับคำสั่งยกเลิกการจู่โจมเมืองซีเก้น ของเยอรมัน และให้ทำลายระเบิดเพลิง 100,000 ลูก ที่เหนือช่องแคบอังกฤษก่อนบินกลับฐานทัพ ส่วนอีกกระแสหนึ่งที่อื้อฉาวมาก และไม่ค่อยมีใครเห็นด้วยมากนัก ว่าไว้โดยอูโด้ อูล์ฟโคทเทอ นักหนังสือพิมพ์ชาวเยอรมัน บอกว่าที่จริงมิลเลอร์บินไปถึงฝรั่งเศส แต่หัวใจวายตายในซ่องที่ปารีเซียงนั่นเอง





3. ฝูงบิน 19 และการหายสาบสูญที่สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา

ฝูงบิน 19 (Flight 19)

            ฝูงบิน 19 (Flight 19) คือชื่อเรียกฝูงบินทิ้งระเบิด ทีบีเอ็ม เอเวนเจอร์ 5 ลำ ของสหรัฐฯ ซึ่งหายไประหว่างการบินทดสอบ หลังบินออกจากฟอร์ท ลอเดอร์เดล ในฟลอริดา เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 1945 โดยการบินครั้งนี้นำโดยนักบินประสบการณ์สูง ชาร์ลส์ เทเลอร์

            หลังเริ่มทดสอบการบินไปได้หนึ่งชั่วโมงครึ่ง นักบินได้รายงานกลับมายังศูนย์ว่าเกิดเหตุสภาวะการแปรปรวน ไม่สามารถระบุตำแหน่งพื้นที่เบื้องล่างได้ เทเลอร์บอกเจ้าหน้าที่ผ่านการสื่อสารทางวิทยุว่า เข็มทิศทั้งสองของเครื่องไม่สามารถทำงานได้ปกติ แม้ว่าทางศูนย์ทางภาคพื้นจะมีความพยายามในการช่วยระบุตำแหน่ง แต่ก็ไร้ผลเมื่อฝูงบินทั้ง 5 ก็ไม่สามารถจับทิศทางได้ ในที่สุดเครื่องบินทั้ง 5 ลำ พร้อมนักบิน 14 ชีวิต ก็ล้มเหลวในการลงสู่พื้นดิน และพุ่งดิ่งสู่ผืนน้ำเบื้องล่าง ไม่มีใครได้พบแม้แต่เศษซากอีกเลย 

            ที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่านั้น เครื่องบินค้นหาพีบีเอ็ม ของกองทัพเรือ พร้อมนักบินอีก 13 นาย ที่รับหน้าที่ค้นหาร่องรอยของฝูงบิน 19 ที่สูญหาย ก็กลับหายสาบสูญไปด้วยเช่นกัน ซึ่งคาดว่าคงมีจุดจบไม่ต่างไปกับฝูงบิน 19 นั่นเอง





4. การหายไปของเครื่องบินสตาร์ดัสต์ และรหัสมอร์สปริศนา

            เครื่องบินสตาร์ดัสต์ ของสายการบินบริติช เซาธ์ อเมริกัน แอร์เวย์ส (BSAA) ภายใต้การบังคับของกัปตันเรจินัลด์ คุก นักบินผู้มีชื่อเสียง นำเครื่องออกจากกรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา เมื่อเวลา 13.46 นาฬิกา ของวันที่ 2 สิงหาคม 1947 บินข้ามเทือกเขาแอนดีส มุ่งหน้าไปยังกรุงซานติอาโก ประเทศชิลี แต่ก็ไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง การติดต่อสุดท้ายของเครื่องบิน คือรหัสมอร์สปริศนา ใจความว่า "STENDEC" 

การหายไปของเครื่องบินสตาร์ดัสต์ และรหัสมอร์สปริศนา

            มีความพยายามแกะความหมายของรหัสมอร์สดังกล่าวมาตลอดหลายสิบปีหลังเกิดเหตุการณ์ มีการคาดเดาถึงหลายสาเหตุที่ทำให้สตาร์ดัสต์บินไปพบจุดจบ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ฟังดูเหลว​ไ​หลอย่างการโจมตีจากมนุษย์ต่างดาว ไปจนถึงการก่อวินาศกรรมทางอากาศ การตั้งใจระเบิดเครื่องกลางอากาศเพื่อทำลายเอกสารทางการทูตที่ผู้โดยสารรายหนึ่งนำขึ้นเครื่องมา และการคาดการณ์ที่ดูน่าเชื่อถือมากขึ้น อย่างเครื่องบินอาจบินเข้าสู่ช่วงเทือกเขาที่มีการเลื่อนไถลในแนวดิ่งของหิมะ ทำให้เครื่องบินตก และซากถูกหิมะฝังไว้มิด 

การหายไปของเครื่องบินสตาร์ดัสต์ และรหัสมอร์สปริศนา

            ​อย่างไรก็ดี ทฤษฎีสุดท้ายนี้ฟังดูสมจริงมากที่สุด เมื่ออีก 50 ปีภายหลังเกิดเหตุการณ์ มีสองนักปีนเขาชาวอาร์เจนตินาได้พบชิ้นส่วนเครื่องยนต์พร้อมกับเศษซากของเสื้อผ้า ระหว่างการปีนยอดเขาทูปันกาโต ของเทือกเขาแอนดีส 




5. เครื่องบินสตาร์ไทเกอร์ กับการหายไปที่สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา 

            เป็นอีกครั้งที่เกิดความสูญเสียกับเครื่องบินของสายการบินบริติช เซาธ์ อเมริกัน แอร์เวย์ส (BSAA) ในคราวนี้คือเครื่องบินสตาร์ไทเกอร์ พร้อมผู้โดยสาร 25 ชีวิต โดยหนึ่งในนั้นคือฮีโร่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งของสหราชอาณาจักร พลอากาศโทเซอร์อาเธอร์ โคนิงแฮม ที่บินออกจากเกาะซานตามาเรีย ประเทศโปรตุเกส มุ่งสู่หมู่เกาะเบอร์มิวดา เมื่อวันที่ 30 มกราคม 1948 ท่ามกลางสภาพอากาศค่อนข้างเลวร้ายเนื่องจากลมพัดแรงจัด

            สตาร์ไทเกอร์ออกบินพร้อมเชื้อเพลิงเหลือเฟือ บังคับเครื่องให้บินต่ำเพื่อเลี่ยงการต้านกระแสลม โดยบินตามเครื่องบินขนส่งแลงคาสเทรนออกมาไม่ทิ้งห่างกันนัก จากระยะทางที่น่าจะกินเวลาบินราว 12 ชั่วโมง เครื่องบินแลงคาสเทรนมาถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ แต่ปรากฏว่าสตาร์ไทเกอร์นั้นไม่มีใครได้พบเห็นอีกเลย
            เป็นที่คาดการ​ณ์​ว่าการบินที่ระดับต่ำ ประกอบกับกระแสลมแรงจัด พัดให้สตาร์ไทเกอร์ร่วงสู่พื้นมหาสมุทรเบื้องล่าง หรืออาจเป็นการทำงานที่ขัดข้องของมาตรวัดระดับความสูง บวกกับความเหนื่อยล้าของนักบินจากชั่วโมงบินที่ยาวนาน ทำให้เกิดความผิดพลาดบังคับเครื่องสตาร์ไทเกอร์พุ่งลงสู่ผืนน้ำก็เป็นได้ อย่างไรก็ดีทั้งเครื่องบิน และผู้โดยสารในเที่ยวบินทั้งหมด ยังคงหายสาบสูญจนถึงปัจจุบัน

เครื่องบิน Tudor Mark IV
เครื่องบิน Tudor Mark IV (หน้าตาคล้ายกับเครื่องบินสตาร์ไทเกอร์ที่หายสาบสูญไป) 







6. ปริศนาหายนะเที่ยวบิน 191 

เที่ยวบิน 191
ซากเครื่องบินเที่ยวบิน 191 ของสายการบินอเมริกัน แอร์ไลน์ส  

            หากลองสังเกตดูจะพบว่าสายการบินหลาย ๆ แห่ง จะไม่ตั้งชื่อเที่ยวบินของตนว่า เที่ยวบิน 191 (Flight 191) ซึ่งปกติจะเป็นเที่ยวบินที่บินจากสนามบินนานาชาติโอแฮร์ ในชิคาโก ไปยังสนามบินนานาชาติลอสแอนเจลิส กันเท่าใดนัก สืบเนื่องมากจากหายนะหลาย ๆ ครั้งที่เคยเกิดขึ้นตลอดช่วงเวลา 40 ปีที่ผ่านมานี้ ล้วนเกี่ยวข้องกับหมายเลขของเที่ยวบินดังกล่าว

            หนึ่งในหายนะเที่ยวบิน 191 ที่ทำให้เกิดความสูญเสียมากที่สุดในประวัติศาสตร์การบินอเมริกา คือเที่ยวบิน 191 ของสายการบินอเมริกัน แอร์ไลน์ส เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 1979 ที่เครื่องบินตกหลังออกจากสนามบินโอแฮร์ได้เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น คร่าชีวิตผู้โดยสาร 258 ชีวิต และลูกเรืออีก 13 ชีวิต
            นอกจากนี้ก็ยังมี เครื่องบินเจท X-15 เที่ยวบิน 191 ซึ่งขึ้นบินเป็นการบินทดสอบเครื่อง โดยนักบินไมเคิล เจ. อดัมส์ ออกตัวที่ทะเลสาบร้างเดลามาร์ ในรัฐเนวาดา สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 1967 แต่เกิดเหตุขัดข้องทางเทคนิคหลังนำเครื่องขึ้นเพียงไม่กี่นาที ลงเอยด้วยการโหม่งโลก คร่าชีวิตนักบินในซากเครื่องบินไหม้พังยับเยิน และเหตุการณ์หวิดนำหลายชีวิตดิ่งสูญดับของเที่ยวบิน 191 สายการบินเจ็ตบลู แอร์เวย์ส ในปี 2012 ที่กัปตันผู้บังคับเครื่องเกิดอาการแพนิคกะทันหัน โชคดีที่ผู้โดยสารเข้าช่วยเขาระงับอาการได้ทันท่วงที จึงไม่เกิดโศกนาฏกรรมขึ้น

            ด้วยเหตุการณ์ที่น่าพิศวงเหล่านี้นี่เอง หลายสายการบินถึงพร้อมใจกันถอนการเรียกชื่อเที่ยวบิน 191 ไปโดยปริยาย




7. การหายที่เป็นปริศนาของเครื่องบินสตาร์แอเรียล 

สตาร์แอเรียล

            สตาร์แอเรียล นับเป็นเครื่องบินอีกลำของสายการบินบริติช เซาธ์ อเมริกัน แอร์เวย์ส (BSAA) ที่ต้องเผชิญชะตากรรมไม่คาดคิด จากไฟลท์ที่บินจากหมู่เกาะเบอร์มิวดามุ่งหน้าไปยังประเทศจาเมกา ในวันที่ 17 มกราคม 1949

            สตาร์แอเรียล ออกบินอย่างราบรื่นสู่ท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง ไม่มีสัญญาณของหายนะใด ๆ ปรากฏมาก่อน กระทั่งเกิดเหตุขัดข้องด้านสัญญาณการติดต่อกับนักบิน และแล้วสตาร์แอเรียลก็ไม่อาจพาผู้โดยสาร 20 ชีวิตพร้อมนักบินอีกหนึ่งนาย ไปถึงจุดหมายปลายทางได้​ นอกจากนี้ยังน่าแปลกใจที่ความพยายามในการค้นหาเครื่องบินลำนี้ดำเนินไปเพียงไม่นาน ก็ยุติลงในวันที่ 25 มกราคม

            การสรุปสาเหตุการหายไปของสตาร์แอเรียลยังคงไม่เป็นที่แน่ชัด แต่ดอน เบนเนตต์ อดีตผู้อำนวยการของ BSAA ออกมาระบุว่า เหตุความสูญเสียที่เกิดขึ้นทั้งกับสตาร์ไทเกอร์ และสตาร์แอเรียล คือการจงใจก่อวินาศกรรมทางอากาศ ทั้งยังพาดพิงถึงนายคลีเมนต์ แอทท์ลี นายกรัฐมนตรีของอังกฤษในตอนนั้น ว่าเป็นผู้ออกคำสั่งอย่างลับ ๆ ให้ยุติการค้นหา และการสืบสวนเกี่ยวกับโศกนาฏกรรมของเครื่องบินทั้งสองลำตัว





8. หายนะเที่ยวบิน 571 ที่เทือกเขาแอนดีส 

เที่ยวบิน 571 ที่เทือกเขาแอนดีส

            เครื่องบินเช่าเหมาลำอุรุกวัยแอร์ฟอร์ซ นำผู้โดยสาร 45 ชีวิตรวมนักบิน และทีมรักบี้ของอุรุกวัย บินจากเมืองหลวงของอุรุกวัย มุ่งหน้าไปยังกรุงซานติอาโก ของชิลี เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 1972 แต่ด้วยสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย ทำให้ต้องหยุดพักที่สนามบินนานาชาติเมนโดซ่า ในอาร์เจนตินา ก่อนออกเดินทางอีกครั้งในวันถัดมา โดยไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะเป็นการเดินทางที่พาพวกเขาไปสู่หายนะที่คร่าชีวิตเพื่อนร่วมทางไปหลายสิบคน ส่วนผู้รอดชีวิตก็ต้องกินเนื้อจากร่างมนุษย์ด้วยกันเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง

            เครื่องบินลำดังกล่าวเกิดเหตุขัดข้อง ประกอบกับสภาพอากาศเลวร้าย จึงตกลงบนเทือกเขาแอนดีส ผู้โดยสาร 12 ราย เสียชีวิตทันทีจากเหตุเครื่องบินตก อีก 6 ราย เสียชีวิตในอีกไม่กี่วันถัดมา และยังมีอีก 8 ชีวิต ที่จบลงจากเหตุหิมะที่ถล่มลงมายังซากเครื่องบินซึ่งพวกเขาปักหลักยึดเป็นที่พักพิง 
            อีก 16 คน ที่เหลืออยู่รอดได้ด้วยการกินเนื้อจากร่างผู้โดยสารที่เสียชีวิตไปแล้วเพื่อประทังชีวิตตัวเอง กว่าทั้งหมดจะถูกค้นพบและได้รับความช่วยเหลือก็เป็นเวลาอีก 72 วันถัดมา เมื่อ 2 คนในกลุ่มที่รอดชีวิต ตัดสินใจออกเดินเท้าข้ามเขตเขา ใช้เวลาถึง 10 วัน จนกระทั่งได้พบกับเซลล์แมนนักเดินทางชาวชีลีที่ได้แบ่งปันน้ำและอาหารให้ พร้อมทั้งแจ้งขอความช่วยเหลือกู้ภัยเร่งด่วนไปยังทางการ

            เรื่องราวหายนะของเที่ยวบิน 571 และการต่อสู้ของผู้รอดชีวิตทั้ง 16 คน กลายเป็นที่มาของภาพยนตร์เรื่อง Alive (1993)




9. ชะตากรรมที่น่าเศร้าของเที่ยวบิน 990 สายการบินอียิปต์แอร์ 

            หายนะดับยกลำของเครื่องบินโบอิ้ง 767 สายการบินอียิปต์แอร์ เที่ยวบินที่ 990 ซึ่งบินออกจากสนามบินนานาชาติจอห์น เอฟ เคนเนดี้ ​สหรัฐฯ ​มุ่งหน้าสู่กรุงไคโรของอียิปต์ ​เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 1999 ​เครื่องบินลำนี้ได้​พาผู้โดยสารรวมลูกเรือ นักบิน และกัปตัน ทั้งสิ้น 217 ชีวิต ไปสู่จุดจบทั้งหมด เมื่อเครื่องบินตกลงในมหาสมุทรแอตแลนติก ทางตอนใต้ของรัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐฯ

            มีรายงานว่า ผู้ก่อเหตุคือนายกามิล เอล-บาตอตตี้ ผู้ช่วยนักบิน ที่เพิ่งจะถูกนายฮาเทม รัชดี้ หนึ่งในผู้บริหารของอียิปต์แอร์ ที่ร่วมโดยสารในเที่ยวบินนั้นด้วย ตำหนิอย่างรุนแรงเรื่องประพฤติ​ตัว​ไม่เหมาะสมทางเพศ โดยหนึ่งในคำต่อว่าคือ "นี่จะเป็นไฟลท์สุดท้ายของนาย" ก่อนที่นายกามิลจะโต้ตอบด้วยคำพูดเดียวกันว่า "มันจะเป็นไฟลท์สุดท้ายของคุณเหมือนกัน"

            ในภายหลังพบว่าเครื่องบันทึกเสียงภายในห้องนักบินที่สามารถบันทึกเสียงของนายกามิลพึมพำว่า "ฉันเชื่อในพระเจ้า" ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่กัปตันได้ขอตัวมาเข้าห้องน้ำ ก่อนที่ระบบออโต้ไพลอ​ต​จะถูกปิด และเครื่องบินก็ดิ่งหัวลงสู่เบื้องล่าง เสียงพึมพำนั้นยังคงดังต่อเนื่องในระหว่างที่เครื่องบินลดระดับลงอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งลุกไหม้และตกลงสู่มหาสมุทร

            หน่วยงานสอบสวนอากาศของสหรัฐฯ (The US National Transportation Safety Board) มีความเห็นว่าเหตุเครื่องบินตกในครั้งนี้เป็นผลจากการกระทำของนายกามิล แต่ไม่ได้ระบุถึงแรงจูงใจในการก่อเหตุของผู้ช่วยนักบินรายนี้แต่อย่างใด 
ชะตากรรมที่น่าเศร้าของเที่ยวบิน 990 สายการบินอิยิปต์แอร์
สภาพกล่องบันทึกเสียงจากห้องนักบินของเที่ยวบินมรณะ




10. หายนะสะเทือนใจ เที่ยวบิน 447 สายการบินแอร์ฟรานซ์

เที่ยวบิน 447 สายการบินแอร์ฟรานซ์

            เครื่องบินแอร์บัสรุ่น A330 ของสายการบินแอร์ฟรานซ์ เที่ยวบิน 477 มุ่งหน้าออกจากกรุงริโอ เดอ จานีโร ประเทศบราซิล สู่กรุงปารีส ฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2009 แต่ก็ไม่อาจพาผู้โดยสาร 214 ชีวิต และลูกเรืออีก 12 รายไปถึงจุดหมายได้

            จากการสืบสวนระบุว่า เกิดผลึกน้ำแข็งก่อตัวในท่อของเครื่องบิน ขัดขวางการทำงานของระบบออโต้ไพลอต จนกระทั่งระบบไม่สามารถทำงานได้ ทำให้เครื่องบินทิ้งดิ่งตัวลงปะทะกับพื้นน้ำของมหาสมุทรแอตแลนติก ไม่พบผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้อย่างใด

            ร่างผู้เสียชีวิต 50 ร่าง ถูกพบลอยอืดเหนือน้ำเป็นที่น่าสะเทือนใจในช่วงเดือนถัดมา กล่องดำถูกค้นพบในเดือนพฤษภาคม ในปี 2011 พร้อมกับพบร่างผู้เสียชีวิตเพิ่มเติมอีก 104 ศพ ส่วนอีก 74 ร่างยังคงหาไม่เจอจนกระทั่งปัจจุบันนี้ 




            เป็นที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าหนึ่งในอุบัติเหตุที่นำมาซึ่งการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ก็คืออุบัติเหตุทางอากาศ ซึ่งเป็นความเสียหายที่สูงทั้งในแง่มูลค่า และยิ่งประเมินค่าไม่ได้ในด้านชีวิตของผู้โดยสารและลูกเรือ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาแล้วก็ได้แต่ขอไม่ให้มันเกิดขึ้นซ้ำรอยเดิมอีก และกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น ก็ขอเป็นกำลังใจเจ้าหน้าที่ และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการตามหาร่องรอยของเที่ยวบินดังกล่าว และเหนือสิ่งอื่นใดขอร่วมภาวนาและเอาใจไปอยู่เคียงข้างผู้ที่ยังคงรอคอยบุคคลอันเป็นที่รักด้วยนะคะ 



*หมายเหตุ: แก้ไขข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2557 เวลา 13.52 น.

วันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2557

ทึ่ง นักเรียนอังกฤษ 13 ปี สร้างเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ได้สำเร็จ


ทึ่ง นักเรียนอังกฤษ 13 ปี สร้างเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ได้สำเร็จ


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก news.cnet.com

            เจมี่ เอ็ดเวิร์ด นักเรียนอังกฤษ วัย 13 ปี กลายมาเป็นบุคคลที่มีอายุน้อยที่สุดในโลก ที่สามารถสร้างเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ได้สำเร็จ จากการทดลองในห้องแ​ล็บของโรงเรียน

            วันที่ 5 มีนาคม 2557 เว็บไซต์เดลี่เมลของอังกฤษ มีรายงานว่า เจมี่ เอ็ดเวิร์ด วัย 13 ปี จากโรงเรียนมัธยมแลงคาเชีย​ร์ ประเทศอังกฤษ กลายมาเป็นบุคคลอายุน้อยที่สุดในโลกที่สามารถสร้างเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ได้สำเร็จ จากการทดลองในห้องแล็บของโรงเรียน โดยได้รับการอนุญาตและเงินทุนจากอาจารย์ใหญ่ของเขา
            โดยเมื่อวันที่ 4 มีนาคมที่ผ่านมา เจมี่ได้ประสบความสำเร็จในการเดินเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่เขาสร้าง ซึ่งทำให้เกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชั่น หรือกระบวนการที่อะตอมของไฮโ​ด​รเจนมารวมตัวกันจนปลดปล่อยฮีเลียมได้สำเร็จในการทดลองครั้งนี้ ต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญที่เข้ามาร่วมชมผลการทดลองของเขา

            "มันค่อนข้างประสบความสำเร็จ มันงดงามมาก ผมยังไม่อยากจะเชื่อ แม้แต่เพื่อนทุกคนยังบอกว่าผมบ้า" เจมี่ กล่าว

            เป็นเวลานานหลายปีที่เจมี่มีความหลงใหลในการศึกษาด้านรังสี จนแม้แต่ครั้งหนึ่งเขาถึงกับยอมใช้เงินที่ได้มาในวันคริสต์มาสเพื่อซื้อไกเกอร์เคาน์เตอร์ หรือเครื่องมือวัดรังสี ให้แก่ตัวเอง ก่อนที่ความใฝ่ฝันในการสร้างปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชั่นของเขาจะเริ่มขึ้น เมื่อได้รับการจุดประกายจากการอ่านเรื่องของ เทย์เลอร์ วิลสัน นักเรียนสหรัฐฯ วัย 14 ปี บุคคลอายุน้อยที่สุดในโลกขณะนั้น ที่สามารถสร้างเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็กได้ในเนวาดา เมื่อปี 2551

            ในก้าวแรกของความพยายาม เจมี่ได้ขอความช่วยเหลือไปยังห้องปฏิบัติการนิวเคลียร์และหน่วยงานในมหาวิทยาลัย แต่พวกเขากลับไม่ได้ให้ความสนใจต่อเจมี่อย่างจริงจัง เขาจึงเหลือตัวเลือกเพียงห้องแล็บของโรงเรียน ก่อนจะได้รับคำอนุญาตจาก จิม ฮอริแกน อาจารย์ใหญ่ ซึ่งได้มอบทุนสมทบแก่การทดลองของเจมี่จำนวน 3,000 ปอนด์

            "ผมค่อนข้างทึ่งและต้องบอกว่าเครียดเล็กน้อยเมื่อเจมี่เขามาขออนุญาตผมทำการทดลองนี้ แต่เขามั่นใจว่าเขาจะไม่ระเบิดโรงเรียน" อาจารย์ใหญ่เผย

            ทั้งนี้ การทดลองในครั้งนี้ได้รับความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญด้านอิเล็กทรอนิกส์ที่เข้ามาทดสอบอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัย ขณะที่เจมี่ เพื่อนของเขา จอร์จ บาร์เกอร์ และครูที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ได้เข้าร่วมหลักสูตรการประเมินความเสียงจากบริษัทเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ และสำหรับโครงการต่อไปของเจมี่ที่ฝันอยากจะเป็นวิศวกรนิวเคลียร์ หรือทำงานด้านทฤษฎีฟิสิกส์ เขาตั้งใจจะสร้างเครื่องชนอนุภาคขนาดเล็กในอนาคต

วันจันทร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2557

Mormon Island จากอดีต ฟื้นคืนชีพอีกครั้งหลังจมอยู่ใต้ทะเลสาปมา 58 ปี

Mormon Island หรือ เกาะมอร์มอน ในอดีตเคยเป็นชุมชนเหมือง ที่เป็นที่อยู่อาศัยของชาว Mormon ที่อพยพมาอยู่ริมฝรั่งแม่น้ำอเมริกัน ก่อนที่จะเข้าสู่ยุค California Gold Rush (การตื่นทองที่แคลิฟอร์เนีย)

mmi1

เมื่อวันที่ 24 มกราคม 1848 James W. Marshall ได้ค้นพบทองคำ ที่โรงเลื่อยชัตเตอร์ในโคโลมา แคลิฟอร์เนีย และเหตุการณ์นี้เองจึงได้มีการอพยพจากผู้คนในเมืองอื่นเข้ามาที่รัฐแคลิฟอร์เนียเป็นจำนวนมาก และทำให้เมืองนี้เจริญขึ้นอย่างมาก และเป็นการเริ่มต้นยุค California Gold Rush
ในปี 1856 ได้เกิดเหตุการไฟใหม่เมืองและไม่เคยได้รับการฟื้นฟูอีกเลย เป็นการสิ้นสุดของยุค California Gold Rush ก่อนที่จะกลายมาเป็นเขื่อน Falsom Lake 
ในช่วงฤดูแล้งของปีที่แล้ว Mormon Island  ได้กลับฟื้นคืนชีพอีกครั้ง หลังจมอยู่ใต้ Falsom Lake มา 58 ปี ดูจากสภาพแล้วคงจะต้องบูรณะกันครั้งใหญ่เลยทีเดียวครับ

mmi2mmi3
mmi4mmi5
mmi8mmi7mmi6mmi10mmi11mmi12mmi13

ที่มา: Wikipedia

วันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2557


นาซาเผยคลิปส่องโลกยามราตรี โชว์แสงสีเขียวเรืองรองเต็มอ่าวไทย



นาซาเผยคลิปส่องโลกยามราตรี โชว์แสงสีเขียวเรืองรองเต็มอ่าวไทย


            นาซา เผยคลิปส่องโลกยามราตรี เผยให้เห็นแสงสีเขียวสว่างไสว ปกคลุมอ่าวไทย จากเรือประมงไทย เป็นความงามที่เห็นได้จากนอกโลก

            นับเป็นอีกหนึ่งความงดงามที่ไม่ได้หาชมได้บ่อย ๆ นัก สำหรับทิวทัศน์ยามค่ำคืนของประเทศไทยจากมุมมองเหนือพื้นโลก ที่องค์การนาซาบันทึกภาพไว้ได้ และนำมาเผยแพร่ให้คนบนผืนโลกได้ชมผ่านทางบัญชี NASACrewEarthObs เว็บไซต์ยูทูบดอทคอม ในชื่อคลิป "Bangkok to North Pacific (annotated)" ซึ่งเผยให้เห็นประเทศไทยยามราตรี ที่เต็มไปด้วยปรากฏการณ์แสงสีเขียวสว่างไสวเต็มพื้นที่อ่าวไทย อันเป็นแสงจากเรือประมงที่ใช้แสงสีเขียวยามออกทะเลนั่นเอง
นาซาเผยคลิปส่องโลกยามราตรี โชว์แสงสีเขียวเรืองรองเต็มอ่าวไทย

            นอกจากนี้ คลิปที่ลูกเรือของยาน Expedition 38 จากสถานีอวกาศนานาชาติ ได้บันทึกภาพมานี้ยังแสดงให้ทิวทัศน์ของประเทศในแถบมหาสมุทรแปซิฟิก นับตั้งแต่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของมาเลเซีย กรุงเทพฯ ถัดไปยังฮานอย ของเวียดนาม แสดงให้เห็นเกาะไหหลำ เกาะฮ่องกง เซี่ยงไฮ้ และกรุงปักกิ่ง ของจีน ตลอดไปจนถึงคาบสมุทรเกาหลี ซึ่งเผยให้เห็นภาพความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างแผ่นดินเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ ที่ในโซลนั้นเต็มไปด้วยแสงไปสว่างไสว ขณะที่เปียงยางนั้นกลับตกอยู่ในความมืดมิดทั้งแผ่นดิน

       

วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

Devoir!!
Expression écrite
4 Comment faire pour protéger la planète/avoir beaucoup d’amis/avoir de bonnes notes qu college
Choisis un theme et écris quatre phreses(utilize il faut/il ne faut pas et le verbe devoir ).
protéger la planète
                    IL FAUT
-                  Recycler les déchets.
-                  Jeter les papiers à la poubelle.
-                  Utiliser les transports en commun ou le vélo.
-                  Economiser l’énergie.
-                  Limiter la pollution.
-                  Respecter la nature.


               IL NE FAUT PAS
-                  Utiliser trop de sac.
-                  Jeter de papiers par terre.
-                  Ne viens pas au college en voiture ou en scooter.
-                  Laisser couler l’eau quand tu te laves les dents ou       quand tu prends une douche.

11 นิสัยการบริโภคของคนยุคใหม่ ที่แตกต่างไปจากคนยุคเก่า อย่างน่ากังวลมาก !!

ในโลกยุคใหม่ เราสามารถเลือกหาอาหารการกินได้ง่ายขึ้น เพียงแค่เดินเข้าร้านสะดวกซื้อปากซอยก็มีอาหารเต็มชั้นวางที่รอเราอยู่แล้ว แต่รู้หรือไม่ว่า… มีหลายหน่วยงานที่วิจัย และพบว่าพฤติกรรมการบริโภคของเราเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตอย่างสุดขั้ว และน่าเป็นกังวลมากอีกด้วย….

1. เราบริโภคน้ำตาลพุ่งสูงขึ้นแบบติดจรวด ในช่วง 160 ปีที่ผ่านมา
โดยเฉพาะคนในประเทศแถบตะวันตก ซึ่งเฉลี่ยแล้วเราได้รับ 500 แคลอรี่จากน้ำตาลในแต่ละวัน เป็นอีกสาเหตุหนึ่งของโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ รวมถึงมะเร็งอีกด้วย
11 things eating habit change (1)

2. อัตราบริโภคน้ำอัดลมและน้ำหวานรสผลไม้ เพิ่มสูงขึ้น
น้ำผลไม้ที่บรรจุวางขายกันทั่วไป หลายๆคนอาจจะคิดว่ามีประโยชน์เหมือนน้ำผลไม้สด แต่ที่จริงแล้วประกอบไปด้วยน้ำตาลและสารให้ความหวานที่สูงมาก อาจจะไม่ต่างกันกับน้ำอัดลมด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคอ้วนตามมา
11 things eating habit change (2)

3. ตั้งแต่ปี 1970 คนเราบริโภคมากขึ้นประมาณ 400 แคลอรี่ต่อวัน
จากกราฟจะเห็นได้ชัดว่าเราบริโภคในปริมาณที่มากขึ้น และรับแคลอรี่ต่อวันมากขึ้น เป็นผลมาจากอาหารสำเร็จรูป ที่มีน้ำตาลและไขมันสูงขึ้น
11 things eating habit change (3)

4. ปริมาณการบริโภคน้ำมันพืชสูงจนน่าตกใจ
ถึงแม้ว่าจะมีความเชื่อเรื่องการบริโภคน้ำมันพืชดีกว่าน้ำมันจากสัตว์ แต่ก็มีข้อมูลที่พบว่าน้ำมันพืชหากบริโภคมาก ก็ส่งผลต่อโอกาสเกิดโรคหัวใจที่มากขึ้นเช่นกัน
11 things eating habit change (4)

5. คนบริโภคเนยน้อยลง ขณะที่บริโภคมาร์การีนเพิ่มขึ้น
สงครามระหว่าง เนย และ มาร์การีน ยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งมาร์การีนนั้นประกอบด้วยไขมันทรานส์ ที่ส่งผลต่อโรคหัวใจ ยังดีที่ช่วงหลังผู้คนเริ่มรับรู้ และหันกลับมาบริโภคเนยจริงๆมากขึ้น
11 things eating habit change (5)

6. น้ำมันถั่วเหลือง เป็นวัตถุดิบหลักในการประกอบอาหาร
ในรอบ 100 ปีที่ผ่านมา จำนวนน้ำมันพืชต่างๆที่คนใช้ประกอบอาหาร ไม่ว่าจะเป็น เมล็ดคอตตอน ข้าวโพด มะพร้าว หรือมะกอก พบว่าคนนิยมใช้ถั่วเหลืองมากที่สุด และโดดเด่นกว่าแหล่งอื่นอย่างเห็นได้ชัด
11 things eating habit change (6)

7. ข้าวสาลียุคใหม่ มีคุณค่าทางโภชนาการน้อยลง
ข้าวสาลีสายพันธุ์ใหม่ ที่ปลูกง่ายและทนทานโรคกว่าสายพันธุ์เก่าถูกเผยแพร่ในราวปี 1960 ทำให้อุตสาหกรรมเกษตรนั้นสามารถทำกำไรได้มากขึ้น แต่ก็ตามมาด้วยคุณค่าทางอาหารที่น้อยลง ได้แก่ แม็กนีเซียม เหล็ก ซิงค์ ที่ลดลงกว่าแบบเก่าถึง 19-28%
11 things eating habit change (7)

8. ผู้คนหันมาบริโภคไข่น้อยลง
ข้อมูลจากในช่วงปี 1950-2007 รายงานว่าคนอเมริกัน บริโภคไข่น้อยลงจากประมาณ 380 ฟองต่อคนต่อปี เหลือเพียงประมาณ 255 ฟองต่อคนต่อปี ยังดีที่เพิ่มขึ้นมาจากช่วงปี 1995 ที่่ราวๆ 225 ฟองต่อคนต่อปี
11 things eating habit change (8)

9. คนบริโภคอาหารสำเร็จรูปมากขึ้น
ตลอดช่วงปี 1889-2009 พบว่าคนนิยมทานอาหารทำเองที่บ้านน้อยลง และบริโภคอาหารสำเร็จรูปมากขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของอาหารฟาสฟู๊ด ที่เพิ่มมาครองส่วนแบ่งกว่า 25%
11 things eating habit change (9)

10. กรดไขมันในน้ำมันพืชยุคใหม่ ไม่เหมาะกับร่างกายเรา
น้ำมันพืชยุคใหม่ประกอบด้วยไขมันโอเมก้า 6 ในชื่อว่า Linoleic Acid ซึ่งมีข้อมูลว่าอาจจะเป็นพิษกับร่างกาย ทำลายโครงสร้าง DNA และเป็นบ่อเกิดของโรคมะเร็งมากกว่าน้ำมันพืชแบบเก่า ดูเป็นเรื่องน่าตกใจทีเดียว
11 things eating habit change (10)

11. คำแนะนำการบริโภคอาหารไขมันต่ำ มาพร้อมกับการเป็นโรคเบาหวาน
เนื่องจากมีข้อแนะนำด้านโภชนาการด้านการบริโภคอาหารไขมันต่ำเผยแพร่มาในปี 1977 แต่ก็กลายเป็นว่าเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตนำเสนออาหารที่มีน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตสูงมาแทนที่ ส่งผลให้เกิดโรคเบาหวานอย่างมาก โดยเฉพาะในหมู่คนอเมริกันนั่นเอง
11 things eating habit change (11)

วันเสาร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

วันมาฆบูชา ประวัติวันมาฆบูชา มาฆบูชา 2557


วันมาฆบูชา
วันมาฆบูชา 


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม 

          วันมาฆบูชา 2557 ประวัติวันมาฆบูชา ความหมายวันมาฆบูชา ความสำคัญของวันมาฆบูชามีความสำคัญอย่างไร วันมาฆบูชา 2557 วันที่เท่าไหร่ มาดูกัน 

          วันมาฆบูชา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 3 ถือเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาวันหนึ่ง และได้เวียนมาบรรจบอีกครั้ง โดย วันมาฆบูชา 2557 ตรงกับวันศุกร์ ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2557 วันนี้กระปุกดอทคอม จึงมี ประวัติวันมาฆบูชา ความสำคัญของวันมาฆบูชามีความสำคัญอย่างไร มาฝากค่ะ

ความหมายของวันมาฆบูชา

          คำว่า "มาฆะ" นั้น เป็นชื่อของเดือน 3 ย่อมาจากคำว่า "มาฆบุรณมี" หมายถึง การบูชาพระในวันเพ็ญกลางเดือนมาฆะตามปฏิทินของอินเดีย หรือเดือน 3

การกำหนดวันมาฆบูชา
          การกำหนดวันมาฆบูชาตามปฏิทินจันทรคติของไทยนั้นจะตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 แต่ถ้าปีใดมีเดือนอธิกมาส คือมีเดือน 8 สองครั้ง วันมาฆบูชาก็จะเลื่อนไปเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 และมักตรงกับเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคม

 ความสำคัญวันมาฆบูชาและประวัติวันมาฆบูชา
          ความสำคัญของวันมาฆบูชา คือเป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง "โอวาทปาติโมกข์"แก่พระสงฆ์เป็นครั้งแรก หลังจากตรัสรู้มาแล้วเป็นเวลา 9 เดือน ซึ่งหลักคำสอนนี้เป็นหลักการ และวิธีการปฏิบัติต่างๆ หากสรุปเป็นใจความสำคัญ จะมีเนื้อหาว่า "ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์"
          ทั้งนี้ในวันมาฆบูชาได้เกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้นพร้อมๆ กันถึง 4 ประการ อันได้แก่
          1.วันนั้นตรงกับวันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ซึ่งพระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์

          2.มีพระสงฆ์จำนวน 1,250 รูป มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ณ วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ เพื่อสักการะพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

          3.พระสงฆ์ที่มาประชุมทั้งหมดล้วนแต่เป็นพระอรหันต์ ผู้ได้อภิญญา 6

          4.พระสงฆ์ทั้งหมดได้รับการอุปสมบทโดยตรงจากพระพุทธเจ้า หรือ "เอหิภิกขุอุปสัมปทา"

          และเพราะเกิดเหตุอัศจรรย์ 4 ประการข้างต้น ทำให้วันมาฆบูชา เรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่า "วันจาตุรงคสันนิบาต" ซึ่งคำว่า "จาตุรงคสันนิบาต" นี้ มีความหมายตามการแยกศัพท์คือ

          จาตุร แปลว่า 4
          องค์ แปลว่า ส่วน
          สันนิบาต แปลว่า ประชุม

          ดังนั้น "จาตุรงคสันนิบาต" จึงหมายความว่า "การประชุมด้วยองค์ 4" นั่นเอง
          ทั้งนี้วันมาฆบูชาถือว่าเป็นวันพระธรรม ขณะที่วันวิสาขบูชาถือว่าเป็นวันพระพุทธ ส่วนวันอาสาฬหบูชา เป็นวันพระสงฆ์
 ประวัติวันมาฆบูชาในประเทศไทย

          พิธีทำบุญวันมาฆบูชานี้ ไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีมาในสมัยใด อย่างไรก็ตามในหนังสือ "พระราชพิธีสิบสองเดือน" อันเป็นบทพระราชนิพนธ์ของ "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" มีเรื่องราวเกี่ยวกับการประกอบราชกุศลมาฆบูชาไว้ว่า

          ประเทศไทยเริ่มกำหนดพิธีปฏิบัติในวันมาฆบูชาเป็นครั้งแรกในช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ซึ่งมีการประกอบพิธีเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.2394 ในพระบรมมหาราชวังก่อน โดยมีพิธีพระราชกุศลในเวลาเช้า นมัสการพระสงฆ์จากวัดบวรนิเวศวรวิหารและวัดราชประดิษฐ์จำนวน 30 รูป ฉันภัตตาหารในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
          เมื่อถึงเวลาค่ำ  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ออก ทรงจุดธูปเทียนนมัสการ พระสงฆ์ทำวัตรเย็นและสวดคาถาโอวาทปาติโมกข์ เมื่อสวดจบทรงจุดเทียน 1,250 เล่ม รอบพระอุโบสถ มีการประโคมอีกครั้งหนึ่งแล้วจึงมีการเทศนาโอวาทปาติโมกข์ 1 กัณฑ์เป็นทั้งเทศนาภาษาบาลี และภาษาไทย ส่วนเครื่องกัณฑ์ประกอบด้วยจีวรเนื้อดี 1 ผืน เงิน 3 ตำลึงและขนมต่าง ๆ เมื่อเทศนาจบ พระสงฆ์ 30 รูป สวดรับ

          ในสมัยรัชกาลที่ 4 นั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะเสด็จออกประกอบพิธีด้วยพระองค์เองทุกปี แต่มีการยกเว้นบ้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เนื่องจากบางครั้งตรงกับช่วงเสด็จประพาสก็จะทรงประกอบพิธีมาฆบูชาในสถานที่นั้นๆ ขึ้นอีกแห่ง นอกเหนือจากภายในพระบรมมหาราชวัง
          ต่อมาการประกอบพิธีมาฆบูชาได้แพร่หลายออกไปภายนอกพระบรมมหาราชวัง และประกอบพิธีกันทั่วราชอาณาจักร ทางรัฐบาลจึงประกาศให้เป็นวันหยุดทางราชการด้วย เพื่อให้ประชาชนจากทุกสาขาอาชีพได้ไปวัด เพื่อทำบุญกุศลและประกอบกิจกรรมทางศาสนา

          นอกจากนี้ในปี พ.ศ. 2549 รัฐบาลไทยประกาศให้วันมาฆบูชา ให้เป็นวันกตัญญูแห่งชาติอีกด้วย

 หลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติในวันมาฆบูชา

          หลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติคือ "โอวาทปาติโมกข์" ซึ่งเป็นหลักคำสอนสำคัญอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา เพื่อไปสู่ความหลุดพ้น หลักธรรมประกอบด้วย หลักการ 3 อุดมการณ์ 4 และวิธีการ 6 ดังนี้

 หลักการ 3 คือหลักคำสอนที่ควรปฏิบัติ ได้แก่
          1.การไม่ทำบาปทั้งปวง คือ การลด ละ เลิก ทำบาปทั้งปวง อันได้แก่ อกุศลกรรมบถ 10 ซึ่งเป็นทางแห่งความชั่ว 10 ประการที่เป็นความชั่วทางกาย (การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติผิดในกาม) ทางวาจา (การพูดเท็จ การพูดส่อเสียด การพูดเพ้อเจ้อ) และทางใจ (การอยากได้สมบัติของผู้อื่น การผูกพยาบาท และความเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม)

          2.การทำกุศลให้ถึงพร้อม คือ การทำความดีทุกอย่างตาม กุศลกรรมบถ 10 ทั้งความดีทางกาย (ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้มาเป็นของตน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่ประพฤติผิดในกาม) ความดีทางวาจา (ไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดหยาบคาย ไม่พูดเพ้อเจ้อ) และความดีทางใจ (ไม่โลภอยากได้ของผู้อื่น มีความเมตตาปรารถนาดี มีความเข้าใจถูกต้องตามทำนองคลองธรรม)

          3.การทำจิตใจให้ผ่องใส คือ ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ หลุดจากนิวรณ์ที่คอยขัดขวางจิตใจไม่ให้เข้าถึงความสงบ ได้แก่ ความพอใจในกาม, ความพยาบาท, ความหดหู่ท้อแท้, ความฟุ้งซ่าน และความลังเลสงสัย

          ซึ่งทั้ง 3 หลักการข้างต้น สามารถสรุปใจความสำคัญได้ว่า "ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์" นั่นเอง

 อุดมการณ์ 4 ได้แก่

          1.ความอดทน อดกลั้น คือ ไม่ทำบาปทั้งกาย วาจา ใจ
          2.ความไม่เบียดเบียน คือ งดเว้นจากการทำร้าย หรือ เบียดเบียนผู้อื่น
          3.ความสงบ ได้แก่ การปฏิบัติตนให้สงบทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ
          4.นิพพาน ได้แก่ การดับทุกข์ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา


 วิธีการ 6 ได้แก่

          1.ไม่ว่าร้าย คือ ไม่กล่าวให้ร้าย โจมตีใคร
          2.ไม่ทำร้าย คือ การไม่เบียดเบียนผู้อื่น
          3.สำรวมในปาติโมกข์ คือ เคารพระเบียบวินัย กฎกติกา รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของสังคม
          4.รู้จักประมาณ คือ รู้จักความพอดีในการบริโภค รวมทั้งการใช้สอยสิ่งต่างๆ
          5.อยู่ในสถานที่สงัด คือ อยู่ในสถานที่ที่มีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม
          6.ฝึกหัดจิตใจให้สงบ คือ การฝึกหัดชำระจิตใจให้สงบ มีประสิทธิภาพที่ดี


เวียนเทียน


 กิจกรรมต่าง ๆ ที่ควรปฏิบัติในวันมาฆบูชา

          การปฏิบัติตนสำหรับพุทธศาสนิกชนในวันมาฆบูชาคือ คือ ในตอนเช้า ควรไปทำบุญตักบาตร ไปวัดเพื่อฟังพระธรรมเทศนา หรือจัดสำรับคาวหวานไปทำบุญถวายภัตตาหาร ช่วงบ่ายฟังพระแสดงพระธรรมเทศนา เจริญสมาธิภาวนา เมื่อถึงตอนค่ำ นำดอกไม้ ธูปเทียนไปเวียนเทียน 3 รอบที่พระอุโบสถ โดยการเวียนเทียนนั้นจะเวียนขวา จำนวน 3 รอบ และช่วงเวลาที่เดินอยู่นั้นให้ระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นอกจากนี้พุทธศาสนิกชนควรบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ตามสถานที่ต่างๆ และรักษาศีล สำหรับตามบ้านเรือน สถานที่ราชการ จะมีการประดับธงชาติ ธงธรรมจักร เพื่อระลึกถึงวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา 


 ข้อเสนอแนะการจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมในวันมาฆบูชา

          กิจกรรมเกี่ยวกับครอบครัว
          กิจกรรมที่ครอบครัวควรทำในวันมาฆบูชา อย่างเช่น การทำความสะอาดบ้าน จัดแต่งที่บูชาประจำบ้าน ชักชวนครอบครัวไปทำบุญตักบาตร ฟังศีล ฟังธรรม บำเพ็ญกุศล ปฏิบัติธรรม รวมทั้งควรศึกษาหลักธรรมคำสั่งสอน และความสำคัญของวันมาฆบูชาด้วย

          กิจกรรมเกี่ยวกับสถานศึกษา

          ในสถานศึกษาเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญอีกแห่ง โดยภายในสถานศึกษาควรมีการร่วมรำลึกถึงความสำคัญของวันมาฆบูชา เช่น จัดนิทรรศการให้ความรู้ ประกวดเรียงความ ตอบปัญหาธรรมะ บรรยายธรรม หรือร่วมกันทำบุญ ตักบาตร เวียนเทียน บำเพ็ญกุศล อีกทั้งประกาศเกียรติคุณนักเรียนผู้ทำประโยชน์ ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี

          กิจกรรมเกี่ยวกับสถานที่ทำงาน

          ควรประชาสัมพันธ์ในที่ทำงาน และจัดให้มีการบรรยายธรรม หรือร่วมบำเพ็ญประโยชน์ร่วมกัน ร่วมทำบุญ บำเพ็ญกุศลร่วมกัน

          กิจกรรมเกี่ยวกับสังคม

          ภาคส่วนต่าง ๆ ในสังคม ไม่ว่าจะเป็น วัด มูลนิธิ สมาคม สื่อมวลชน สนามบิน สถานีรถไฟ ฯลฯ ควรช่วยกันประชาสัมพันธ์ความสำคัญของวันมาฆบูชา อาจเป็นการพิมพ์เอกสารให้ความรู้ จัดให้มีการเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาร่วมกัน เช่น ทำบุญตักบาตร ฟังธรรม ช่วยกันรณรงค์ให้เลิกอบายมุข แต่รณรงค์ให้ช่วยกันทำประโยชน์ต่อสังคมแทน อาจช่วยกันปลูกต้นไม้ ทำความสะอาดที่สาธารณะ ฯลฯ


 ประโยชน์ที่จะได้รับจากการจัดกิจกรรมในวันมาฆบูชา

          พุทธศาสนิกชนจะมีความรู้ ความเข้าใจอย่างถูกต้องเกี่ยวกับความสำคัญของวันมาฆบูชา รวมทั้งหลักธรรมต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้เกิดความตระหนักต่อความสำคัญของพระพุทธศาสนา อีกทั้งยังเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะชาวพุทธ และยังเป็นการช่วยธำรงพระพุทธศาสนาให้สืบต่อไป