วันเสาร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2557

Devoirs!
Expression écrite
4 Réponds au mél d’Albane

De: Wanwijit Thammarak
A: Albane
        Salut Albane!
Ahhh…..C’est les soldes!! Oui, je veux aller avec toi, je voudrais acheter une jupe et baskets.
J’ai eu une bonne note à l’école et mes parents m’ont donné ving euros!
La semaine dernière,j’ai fait jardinage chez mes voisins aussi et j’ai gagné dix euros!

Gros bisous
Wanwijit Thammarak


วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2557

เรือโนอาห์ (Noah's Ark)


(รูปประกอบ )
เรือโนอาห์ (Noah's Ark) ถูกกล่าวถึงในพระธรรมปฐมกาลบทที่ 6 ก่อนที่พระเจ้าจะทรงทำลายมนุษย์ด้วยการทำให้น้ำท่วมโลก พระองค์ทรงเห็นว่าโนอาห์เป็นคนชอบธรรม ดีพร้อมในสมัยนั้น และดำเนินกับพระเจ้า

หตุการณ์ของเรือโนอาห์ ยังมีกล่าวถึงในในพระธรรมปฐมกาล พระคัมภีร์อัลกุรอาน ในศาสนาอิสลาม พระคัมภีร์ในศาสนายูดาย นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานเรื่องเล่าปรำปรานานาชาติ เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์น้ำท่วมโลกนี้ แตกต่างกันไปในแต่ละชนชาติ

พระเจ้าทรงให้โนอาห์ ประกอบเรือตามแบบที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ดังนี้

· วัสดุ ประกอบเรือ ไม้สนโกเฟอร์
· ความ ยาว 300 ศอก
· ความ กว้าง 50 ศอก
· ความ สูง 30 ศอก
· จำนวน ชั้น 3 ชั้น พร้อมดาดฟ้าเรือ มีหลังคาสูง 1 ศอก
· ยาชันทั้ง ภายนอกภายใน

แบ่งเรือออกเป็นห้อง (ไม่ได้ระบุจำนวนห้อง)

โดยสิ่งที่บรรทุกในเรือพระเจ้าทรงมีพระบัญชาให้โน อาห์นำสิ่งเหล่านี้ขึ้นไปบนเรือ คือมี

โนอาห์ และครอบครัว โดยมีลูกชายของโนอาห์ 3 คน ได้แก่ เชม ฮาม และยาเฟท  และก็มีอาหารสำหรับโนอาห์ ครอบครัว และสำหรับสัตว์ที่พระเจ้าทรงกำหนด สัตว์ นก และสัตว์เลื้อยคลานชนิดละ 1 คู่ (ตัวผู้ 1 ตัว และตัวเมีย 1 ตัว)

จากนั้นพระเจ้าทรงบันดาลให้ฝนตกหนัก 40 วัน และเกิดน้ำท่วมแผ่นดินเป็นเวลา 150 วัน จนผู้คนและสิ่งมีชีวิตทั่วโลกตายจนหมดสิ้น พระเจ้าจึงทรงกระทำให้น้ำลดลง ใช้เวลาอีก 150 วัน แผ่นดินจึงแห้ง

ในที่สุดเรือโนอาห์นั้น ไปค้างอยู่บนยอดเขา(อาจเป็นอารารัต) โนอาห์ และครอบครัวได้ลงจากเรือเมื่อน้ำแห้งดีแล้ว และใช้ชีวิตตามปกติต่อไป ในครั้งนั้น พระเจ้าทรงมอบรุ้งกินน้ำ เป็นพันธสัญญาว่า จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมโลกเพื่อทำลายล้างมนุษย์อีก


ครับนี้คือตำนานขอเรือโน อาร์ มาดูรายงานการตามล่าหาเรือโนอาร์ที่หุบเขาอารารัตกันบ้าง

ปัจจัยสำคัญที่ขัดขวาง การค้นหา คือ เทือกเขาอารารัตเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา ตั้งในพรมแดนของประเทศตรุกี ซึ่งรัฐบาลตุรกีไม่อนุญาตการขึ้นไปยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นี้

อารารัตเป็นยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะตลอดกาล ตระหง่านชูยอดเทียบท้องฟ้าราวกับนกปากสีเงินที่งามสง่า ชาวพื้นเมืองบริเวณนั้นเรียกภูเขานี้ว่า อากรี ดากี หรือ อารี ดาอี อันหมายความว่า "ภูเขาแห่งความเจ็บปวด" ภูเขานี้ผุดขึ้นโดดเด่นจากลุ่มแม่น้ำอาราสทำให้เกิดเป็นภาพภูเขาหิมะตัดกับ ภูมิทัศน์รอบๆ ซึ่งเป็นผืนดินขรุขระเต็มไปด้วยฝุ่น แต่ทราบไหมครับว่า กิตติศัพท์ของภูเขาอารารัตนี้มิได้เกิดจากรูปทรงสมมาตร แนวลาดที่ดูเรียบ และเกร็ดหิมะขาวที่ปกคลุม หากชื่อเสียงของอารารัตมาจากพระคัมภีร์ที่พวกเราคุ้นเคยกัน คัมภีร์ไบเบิลครับ...

ตามพระ คัมภีร์กล่าวไว้ว่า เมื่อน้ำท่วมโลกได้ลดลง ภูเขาอารารัตนั้นคือภูเขาลูกแรกที่ยอดโผล่พ้นผิวน้ำ และเป็นที่ๆเรืออาร์คของโนอาห์ได้ลงจอด ซึ่งอันที่จริงนะครับ อารารัตเป็นภูเขาที่มีสองยอดโดยมีระยะทางห่างกันประมาณ 11 กิโลเมตร ยอดทั้งสองที่ว่าประกอบด้วย ยอดเขาเกรต อารารัต สูง 5,137 เมตร ซึ่งถือเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศตุรกี กับอีกยอดเขาหนึ่งคือ ลิตเติล อารารัต ซึ่งอยู่เหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 3,896 เมตร ยอดเขาทั้งคู่เดิมเป็นภูเขาไฟและประกอบด้วยเถ้าลาวาหลายชั้น แม้ปัจจุบันจะไม่ร่องรอยภูเขาไฟให้เห็นที่ยอดทั้งสอง แต่รายรอบตามลาดยังมีกรวยและรอยแยกอันเกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟให้เห็น อยู่ ก้อนหินที่พื้นรอบๆเขาก็ยังมีร่องรอยของภูเขาไฟให้เห็นอยู่บ้าง

ภูเขาอารารัต เป็นภูเขาที่บริเวณส่วนใหญ่ไร้พืชพันธุ์ขึ้น และถึงจะมีหิมะปกคลุมแทบตลอดทั้งปีแต่ภูเขานี้ก็ขาดแคลนน้ำอย่างหนัก มีพืชตระกูลเบิร์ชบางต้นเท่านั้นที่ยังคงขึ้นอยู่ได้ ทว่าบริเวณช่วงกลางของลาดเขาที่สูงประมาณ 1,500 - 3,000 เมตรนั้นยังมีความอุดมสมบูรณ์อยู่บ้าง ชาวไร่เคอร์ดิชสามารถเลี้ยงแกะได้บนทุ่งหญ้าบริเวณนี้ และในอดีตเคยมีสัตว์มากมายอาศัยอยู่ตามแนวรายรอบบริเวณ น่าเสียดายที่ปัจจุบันเราพบกันไม่กี่ชนิดเท่านั้น เคยมีบันทึกของนักการทูตอังกฤษสมัยศตวรรษที่ 19 รายงาน ว่า พบหมี เสือภูเขา และสิงโตอยู่ด้วย ในสมัยกลางดินแดนแถบนี้เล่าลือกันว่าเป็นที่อยู่อาศัยของมังกร รวมทั้งตำนานของหนอนน้ำแข็งพิสดาร ที่ลำพังด้วยตัวเล็กกระจิ๋วของมันกลับทำให้น้ำผลไม้ชามใหญ่กลายเป็นน้ำแข็ง ไปได้

เพราะตำนาน เหล่านี้ จึง'ทำให้นักไต่เขา และนักผจญภัยพากันหวั่นหวาดไม่อยากขึ้นมาบนเขาลูกนี้ นอกจากเรื่องเล่าลือแล้ว อันตรายอันเกิดจากอุบัติเหตุต่างๆเช่น หิมะถล่ม หมอกมืดอันปกคลุมอยู่ชั่วนาตาปี และภูมิอากาศที่มักเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ทำให้นักไต่เขาพากันเข็ดขยาดไม่อยากยุ่งกับภูเขาอารารัตมากนัก จนกระทั่งปี ค.ศ. 1829 เมื่อ โยฮัน ยาคอบ ฟอน ฟาโรท ศาสตราจารย์ชาวเยอรมันวัย 37 ปี ไต่ขึ้นยอดเขาจนสำเร็จหลังจากที่พยายามมาสามครั้ง เขาฉลองความสำเร็จโดยปักไม้กางเขนที่ยอดเขา และนับจากนั้นเป็นต้นมา สาวกนักพิชิตภูเขาก็แห่กันตามรอยของฟาโรท์เป็นการใหญ่ หนึ่งในนั้นคือ เจมส์ ไบรซ์ รัฐบุรุษผู้มีชื่อเสียงของอังกฤษ ซึ่งพิชิตยอดเขานี้สำเร็จในปี ค.ศ. 1876 ไบรซ์รู้สึกซาบซึ้งอย่างประหลาด เมื่อเขามองจากยอดเขาข้ามที่ราบอันปกคลุมไปด้วยฝุ่นไปยังดินแดนต่างๆที่เคย เป็นบรรดาอาณาจักรของ ซาร์ ชาห์ และสุลต่าน เขาปรารภไว้ในงานเขียนของเขาภายหลังว่า...

"ถ้า ณ ที่นี้เป็นที่แรกซึ่งมนุษย์ย่างเหยียบพื้นโลกอันปราศจากผู้คน เราก็คงจินตนาการได้ว่าการกระจายของมนุษย์นานาเผ่าพันธุ์จากยอดเขาอันศักดิ์ สิทธ์นี้จะยิ่งใหญ่เพียงใด ไม่มีที่แห่งใดจะเหมาะเป็นศูนย์กลางโลกมากกว่าที่แห่งนี้อีกแล้ว..."

แหมแต่ถึงยังไงหลายคนก็อยากจะขึ้นภูเขาอารารัตนี้น่า เพราะอยากให้รู้แน่ๆ ว่าเรือโนอาร์นั้นมีจริงหรือไม่

กว่า 2 ทศวรรษมาแล้ว ที่การค้นหาเรือโนอาห์ เป็นที่สนใจจากนานาชาติ นักสำรวจหลายชุด แถบเทือกเขา อารารัต ทางตะวันออกของตุรกี ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาวอเมริกัน   เรือโนอาห์ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล มีขนาดใหญ่ ทำด้วยไม้สนโกเฟอร์ ทำเป็นห้องๆ และยาชันทั้งข้างในและข้างนอก ยาว 300 ศอก กว้าง 50 ศอก สูง 30 ศอก (ใช้หน่วย 1 Cubit = 1 เมตร) และมี 3 ชั้น มีประตูด้านข้าง (ปฐมกาล 6:14-16) เป็นที่รู้กันดี ตั้งแต่ก่อน ศตวรรษที่ 20 แล้วว่า มันมีขนาดใหญ่พอๆ กับเรือเดินสมุทรในปัจจุบัน
พระ คัมภีร์กล่าวว่า ณ วันที่ 17 ของเดือนที่ 7 ฝนก็หยุดตก และน้ำเริ่มลด นาวาก็ค้างอยู่บนเทือกเขาอารารัต (ปฐมกาล 8:4) ซึ่งเป็นแถบ อาณาจักร Urartu โบราณ แต่ไม่ได้ระบุยอดเขาโดยเฉพาะ หลังจากโนอาห์ และครอบครัว ออกจากเรือบนภูเขา เรือนั้นก็ไม่ได้ถูกกล่าวถึง ในพระคัมภีร์อีกเลย ผู้เขียนไบเบิ้ลคนต่อๆ มา ก็ไม่เคยพูดถึง และไม่ได้บอกว่า จะเห็นได้ที่ไหน   อารารัตในปัจจุบัน มีเทือกเขาแฝดสูง ที่น่าสนใจคือ มีรายงานจำนวนมาก ในประวัติศาสตร์ บอกว่าเรือขนาดใหญ่อยู่บนภูเขาแถบนี้   นักวิชาการปัจจุบัน หลายคนคิดว่า ยอดเขาอารารัตในตุรกี เป็นสถานที่ ที่น่าจะพบเรือโนอาห์มากกว่า เพราะอารารัตคือยอดเขา ที่สูงที่สุดในตุรกี ดังนั้นขณะน้ำลด ภูเขาลูกแรก ที่จะโผล่เหนือน้ำ ต้องเป็นภูเขา Ararat ที่มีหิมะปกคลุมตลอดปี และมีชื่อเรียกในภาษาท้องถิ่นว่า Aghri Dagh ซึ่ง แปลว่า ภูเขาแห่งความเจ็บปวด  ปัจจุบันอารารัตมียอด เขา 2 ยอดคือ Great Ararat ที่ สูง 5,137 เมตร กับ Little Ararat ที่สูง 3,896 เมตร และช่วงบนของยอดเขาทั้งสอง ขนาดซึ่งวัดโดยรอบได้ถึง 40 กิโลเมตร

รายงาน กว่าศตวรรษจากผู้เคยพบเห็นเรือ ค้นพบชิ้นไม้ ถ่ายรูปได้จากที่สูง มากมาย เป็นที่เชื่อกันว่า อย่างน้อย ชิ้นส่วนที่ใหญ่ๆ ของเรือ น่าจะยังมีอยู่ อาจไม่ได้อยู่ เทือกเขาสูงสุด แต่ที่ไหนซักแห่ง ซึ่งอยู่เหนือ ขึ้นไป ระดับหมื่นฟุต ภูเขานี้ปกคลุมด้วยหิมะ และน้ำแข็งตลอดทั้งปี มีเพียงช่วงฤดูร้อน ที่จะเข้าไปได้ บางคนก็เคยปีนและเดินขึ้นไป

ในทศวรรษที่ 80 นักสำรวจเรือโนอาห์จำนวนไม่น้อย ได้เข้าร่วมโครงการนาซ่า กับ เจมส์ เออร์วินเป็นเรื่องครึกโครมมากจนสภาพโซเวียตต้องออกมาขัดขวางเพราะว่าว่าเทือกเขาอยู่ขอบชายแดน ตุรกี-โซเวียต พอเจมส์เสียชีวิตลง ก็มีการสำรวจครั้งใหม่
ในทศวรรษที่ 90 และตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา แต่ยังไม่มีหลักฐาน แน่ชัดว่ามีคนพบเรือทั้งลำ   ใน ความพยายามค้นหาตำแหน่งของเรือ Noah ตลอดเวลาที่ ผ่านมา ได้มีการอ้างหลักฐาน การเห็นซากเรือ หลายครั้ง เช่น

เมื่อ 700 ปีก่อนนี้ ในศควรรษที่14 ประมาณปี 1356 มีหนังสือชื่อ Travels of Sir John Mandeville ที่เล่าว่า มีนักบวชคนหนึ่ง เก็บเศษไม้ได้จากยอดเขา Ararat แต่ก็ไม่มีใคร ณ วันนี้รู้ว่า Sir John ในหนังสือนั้นคือใคร และมีตัวตนหรือไม่

และเมื่อปี 1916 ความสนใจ เกี่ยวกับเรือ Noah ได้บังเกิดอีกเมื่อวารสาร The New Eden รายงานว่า นักบินชาวรัสเซียคนหนึ่ง ชื่อ Vladimir Roskovitsky ขณะบินสำรวจผ่านยอดเขา Ararat เขาได้เห็น ซากเรือขนาดใหญ่ บนเขาลูกนั้น แต่ก็ไม่มีการติดตามไปดู จนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1917 แม่ ทัพรัสเซีย ท่านหนึ่ง ได้ส่งทหาร 150 คน ขึ้นไปดูซากเรือ เพื่อนำรายงาน ไปบังคมทูล ให้จักรพรรดิซาร์ (Czar) ทรงทราบ แต่ได้เกิดรัฐประหาร คณะปฏิวัติ Bolshevik จึงได้ทำลายเอกสารรายงานหมด เพื่อไม่ให้ใคร เชื่อคัมภีร์ไบเบิลอีกต่อไป

ในปี ค.ศ. 1955 Ferdinand Navarra นักผจญภัยชาวฝรั่งเศส กับลูกชาย ได้เดินทางขึ้นยอดเขา Ararat และได้นำ ไม้โอ๊กแผ่นหนึ่งกลับลงมา ในหนังสือชื่อ Noah's Ark: I Touched It เขาเล่าว่า เขาต้องหลบซ่อนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ของตุรกี เพื่อนำซากไม้ที่ยาว 2เมตรออกนอกประเทศ ถึงแม้หนังสือเล่มนั้น จะมีภาพของสองพ่อลูกบนภูเขา แต่ก็หามีภาพของเรือไม่ และเมื่อ Navarra ให้ผู้เชี่ยวชาญ ด้านอายุของวัตถุโบราณ วัดอายุของไม้เขา ได้ข้อสรุปว่า ไม้นั้นมีอายุตั้งแต่ 4,000-6,000 ปี ซึ่งก็ตรงกับคำสอน ในคัมภีร์ไบเบิลที่ว่า โลกถือกำเนิดเมื่อ 6,008 ปีก่อนนี้ และเหตุการณ์น้ำท่วมโลก เกิดขึ้นเมื่อ 5,000 ปีก่อนจริง

ถึงแม้ ข้อสรุปเกี่ยวกับเรือจะยุติลงในมุมมองของนักวิทยาศาสตร์ แต่ประเด็นเหตุการณ์ น้ำท่วมโลก ก็ยังมีบุคคลสนใจมากมาย เมื่อ ปี2000 ในหนังสือชื่อ Noah's Flood : The New Scientific Discoveries About the Event That Changed History. William Ryan แห่ง Lamont-Doherty Earth Observatory ที่ เมือง Palisades ใน New York สหรัฐอเมริกา ได้เสนอความเห็นว่า ในอดีตเมื่อ 8,000 ปีก่อนนี้ ได้เกิดเหตุการณ์ น้ำท่วมครั้งมโหฬาร ในบริเวณที่ราบรอบทะเลดำ ( Black Sea) ซึ่งอยู่ ระหว่างยุโรปกับเอเชีย และเป็นทะเลสาบ น้ำจืด น้ำทะเล ได้ไหลทะลักผ่านเข้ามา ทางช่องแคบ Bosphoues จนถึง ทะเลดำ ทำให้ระดับน้ำในทะเลสาบ เพิ่มสูงขึ้น 100 เมตร ในเวลา 3ปี แต่ Ryan มิได้ระบุชัดว่า เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เกิดจากสาเหตุใด

ใน วารสาร Paleoceanography ฉบับที่ 19 ปี2004 Mark Siddall แห่งมหาวิทยาลัย Bern ในสวิตเซอร์แลนด์ กับคณะได้รายงานการใช้คอมพิวเตอร์ จำลองสถานการณ์น้ำท่วมในทะเลดำ และพบว่า เหตุการณ์น้ำท่วมโลก สามารถเกิดขึ้นได้ โดยคณะผู้วิจัย ได้สมมติว่าในอดีตเมื่อ 10,000 ปีก่อนนี้ ซึ่งเป็นเวลาที่โลก กำลังตกอยู่ใน ยุคน้ำแข็ง Holocene ทะเล Mediteranean ทะเล Marmara และทะเลดำมีแผ่นดินคั่นอยู่ ณ เวลานั้นระดับน้ำ ในทะเลดำ อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำในทะเล Marmara ประมาณ 100 เมตร และเมื่อน้ำแข็งละลาย ระดับน้ำในทะเล เมดิเตอร์เรเนียน และทะเล Marmara ได้เพิ่มสูงขึ้นๆ จนกระทั่งเมื่อ 8,400 ปีก่อนนี้ น้ำจากทะเล Marmara ก็ได้ไหลข้ามพื้นแผ่นดิน ที่คั่นระหว่างทะเล Marmara กับทะเลดำเข้าสู่ทะเล ดำ
ในการ ศึกษารายละเอียดของเหตุการณ์น้ำท่วมว่ารุนแรง หรือราบเรียบเพียงใด Siddall กับคณะได้กำหนด ให้กระแสน้ำท่วม มีความเร็วต่างๆ กัน แล้วศึกษาผลกระทบที่เกิดขึ้นตามบริเวณขอบทะเลดำ และเขาก็ได้พบว่า ถ้ากระแสน้ำไหลช้าๆ แรง Coriolis ซึ่งเกิดจากการ หมุนรอบตัวเองของโลก จะทำให้น้ำไหลขึ้นทางเหนือ จะพุ่งเฉียงไปทางตะวันออก แต่ถ้ากระแสน้ำไหลเชี่ยว เพราะขณะนั้น ได้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวด้วย พลังไหลของน้ำจะมหาศาล จนมันสามารถไหล ได้ทุกทิศทาง ปริมาณน้ำที่มากถึง 60,000 ลูกบาศก์เมตร/วินาที เท่ากับ 20 เท่า ของน้ำตก Niagara จะไหลพุ่งเข้าทะเลดำ เป็นเวลานาน 33 ปี จนระดับน้ำในทะเล Marmara และทะเลดำเท่ากัน น้ำจึงหยุดท่วม

ในปี 1987 Ron Wyatt นักสำรวจโบราณคดี พบว่าบนเทือกเขา มีรอยของเรือขนาดใหญ่ ในเขตของตุรกี นักข่าวได้ประโคมข่าวใหญ่ในประเทศ รัฐบาลได้ขอให้รอนแสกนภาพจากเรดาห์ และพบร่องรอย ที่เป็นหลักฐาน มากมาย แต่แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ในช่วงปี 1840 และระยะ เวลาที่ยาวนาน ได้กระจายชิ้นส่วนของเรือ ออกไปแล้ว เป็น 3ชิ้นเป็นอย่างน้อย หรืออาจมากกว่า 6ชิ้น แต่มีการอัศจรรย์ ที่ยังคงรักษาบางชิ้นส่วนเอาไว้ได้ โดยการค้นพบ จากภาพถ่ายจากดาวเทียม ทำให้สามารถ พบเศษไม้ ที่กลายเป็นหิน ได้จำนวนหนึ่ง การค้นคว้านี้ ยังคงดำเนินต่อไป แม้จะยังไม่มีคนใด ที่ได้เห็นเรือทั้งลำหลงเหลือในปัจจุบัน
Cheese Fondue(Suisse)



Cheese Fondue เนยแข็งหลายชนิดเช่น Emmental, Appenzell, Jura และเนยแข็งผสมสมุนไพรตั้งไฟให้เนยละลาย ผสมด้วยไวน์ขาวสำหรับจิ้มขนมปัง

Fondue Bourquignone(Suisse)



Fondue Bourquignone (ฟองดูบูร์กิยอง) ตั้งน้ำมันจนร้อนได้ที่เอาเนื้อที่หั่นเป็นก้อนสี่เหลี่ยมเล็กๆ เสียบส้อมยาวที่ใช้สำหรับอาหารประเภทนี้โดยเฉพาะจุ่มลงในหม้อน้ำมันจนสุกได้ที่ 
จิ้มกับซอสนานาชนิด

สถานที่ท่องเที่ยว - ลานหินปุ่ม

อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าตั้งอยู่บนรอยต่อของสามจังหวัด คือ อ.ด่านซ้าย จังหวัดเลย อ.นครไทย จังหวัดพิษณุโลก และอ.หล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ มีเนื้อที่ประมาณ 191,875 ไร่ ประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2527 เป็นพื้นที่ที่มีธรรมชาติแปลกและสวยงาม ทั้งยังเป็นดินแดนแห่งประวัติศาสตร์ เป็นยุทธภูมิที่สำคัญ อันเนื่องจากความขัดแย้งของลัทธิและแนวความคิดทางการเมือง อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าจึงเป็นอุทยานแห่งชาติเพียงแห่งเดียวในประเทศไทยที่รักษาไว้ซึ่งประวัติศาสตร์ของการสู้รบ และความสวยงามทางธรรมชาติที่สมบูรณ์ ลักษณะภูมิอากาศภูหินร่องกล้ามีลักษณะภูมิอากาศคล้ายภูกระดึงและภูหลวง เนื่องจากมีความสูงในระดับไล่เลี่ยกัน อากาศจะหนาวเย็นเกือบตลอดปี โดยเฉพาะในฤดูหนาว อุณหภูมิจะต่ำประมาณ 4 องศาเซลเซียส ฤดูร้อนอากาศจะเย็นสบาย ฝนตกชุกในฤดูฝน อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปี ประมาณ 18-25 องศาเซลเซียส

สถานที่ท่องเที่ยว - ลานหินปุ่ม

ลานหินปุ่ม อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ประมาณ 4 กม. อยู่ริมหน้าผา ลักษณะลานหินซึ่ง มีหินผุดขึ้นมาเป็นปุ่มเป็นปมขนาดไล่เลี่ยกัน คาดว่าเกิดจากการสึกกร่อนตามธรรมชาติของหิน ในอดีตบริเวณนี้ใช้เป็นที่พักฟื้นของคนไข้ของโรงพยาบาล เนื่องจากอยู่บนหน้าผา มีลมพัดเย็นสบาย 

ลานหินแตก อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า

ลานหินแตก
ลานหินแตก ตั้งอยู่ในเขต อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ซึ่งอยู่บนรอยต่อของสามจังหวัด คือ อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก และ อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์  เป็นพื้นที่ที่มีความสมบูรณ์ทางธรรมชาติและสวยงามแปลกตา อากาศหนาวเย็นเกือบตลอดปี ยิ่งในฤดูหนาว อุณหภูมิจะต่ำประมาณ 4 องศาเซลเซียส ฤดูร้อนอากาศจะเย็นสบาย ในฤดูฝนจะมีฝนตกชุก อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปี ประมาณ 18-25 องศาเซลเซียส
ลานหินแตก อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า
ลานหินแตก สถานที่ท่องเที่ยวซึ่งอยู่ห่างจากฐานพัชรินทร์ 300 เมตร ลักษณะทางภูมิศาสตร์เป็นหินที่มีรอยแตกเป็นแนวยาว คล้ายกับแผ่นดินแยก สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากการโก่งตัวหรือเคลื่อนตัวของผิวโลก บางร่องมีขนาดแคบนิดเดียวเพียงแค่ต้นหญ้าชอนไช บางร่องกว้างประมาณหนึ่งก้าวของคนข้าม และบางรอยแยกกว้างเกินกว่าจะกระโดดข้ามพ้น และความลึกของ ลานหินแตก นี้มีระยะที่แตกต่างกัน ไม่สามารถคาดคะเนได้ โดยรอบบริเวณนั้นยังปกคลุมไปด้วยตะไคร่ ไลเคน มอสเฟิร์น และกล้วยไม้ชนิดต่างๆ
ลานหินแตก อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า จ.พิษณุโลก
ลานหินแตก อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า พิษณุโลก
การเดินทางไป ลานหินแตก อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า
อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ไปทางทิศเหนือ ประมาณ 500 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางโดยรถยนต์ ประมาณ 6 ชั่วโมง ห่างจากตัวเมืองพิษณุโลก 120 กิโลเมตร จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธิน) แยกเข้าทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข 32 ผ่านจังหวัดอยุธยา สิงห์บุรีชัยนาท นครสวรรค์ จากนั้น แยกขวาเข้าทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 117 ประมาณ 130 กิโลเมตร ถึงตัวเมืองพิษณุโลก จากตัวเมือง เส้นทางที่สะดวกที่สุด คือใช้ทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข 12 สายพิษณุโลก – หล่มสัก จากนั้นแยกซ้ายเข้าทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2013 ไปทางอำเภอนครไทย ก่อนถึงตัวอำเภอ มีทางแยกขวามือตามทางหลวงหมายเลข 2331 มุ่งหน้าสู่ อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า เส้นทางค่อนข้างสูงชัน และคดเคี้ยวเป็นระยะ

วันจันทร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2557

เด็กชายมะกัน 9 ขวบ พิชิตยอดเขาสูงสุดในอาร์เจนฯ


เด็กชายมะกัน 9 ขวบ พิชิตยอดเขาสูงสุดในอาร์เจนฯ


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก thurgauerzeitung.ch

            เด็กชายอเมริกันวัย 9 ขวบ ทุบสถิติผู้พิชิยอดเขาอะคองคากัวอายุน้อยสุดในโลก

            เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2556 เว็บไซต์นิวยอร์กเดลี่นิวส์ รายงานว่า เด็กชายอเมริกัน วัย 9 ขวบ กลายเป็นผู้พิชิตที่มีอายุน้อยที่สุดในโลก ที่สามารถพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดในอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ได้สำเร็จ

            หนุ่มน้อยรายนี้ มีนามว่า ไทเลอร์ อาร์มสตรอง จากเมืองยอร์บาลินดา รัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐฯ ได้ขึ้นไปพิชิตยอดเขาอะคองคากัว ในประเทศอาร์เจนตินา ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ ที่ความสูง 6,962 เมตร เมื่อวันที่ 24 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยเดินทางไปกับ เคลวิน พ่อของเขา และเพื่อนร่วมทางที่เคยพิชิตเขาเอเวอเรสต์มาแล้วอีก 2 คน

            โดยไทเลอร์ ได้เปิดเผยว่า ยอดเขาจริง ๆ นั้นไม่เหมือนกับยอดเขาที่เด็ก ๆ วาดเป็นภาพวาด มันยิ่งใหญ่มากและสูงมาก เขาได้เห็นชั้นบรรยากาศของโลก ได้เห็นเมฆลอยอยู่ต่ำกว่าสองเท้าของเขา และสภาพอากาศก็หนาวเย็นจริง ๆ

            ทั้งนี้ ตลอดเวลาที่ผ่านมา เท่าที่มีการบันทึกสถิติ มีผู้เดินทางมาหวังพิชิตยอดเขาอะคองคากัวแล้วกว่า 7,000 คน แต่มีเพียง 30% เท่านั้น ที่สามารถพิชิตยอดเขาได้ และจริง ๆ แล้ว ทางการอาร์เจนตินาไม่อนุญาตให้เด็กอายุต่ำกว่า 14 ปี ขึ้นไปพิชิต แต่ทางครอบครัวของไทเลอร์และทีมนักพิชิตยอดเขาที่ไปด้วยได้ขอเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งนั้นทำให้ไทเลอร์สามารถขึ้นไปพิชิตยอดเขาอะคองคากัวได้

            อนึ่ง ไทเลอร์ กลายเป็นผู้พิชิตยอดเขาอะคองคากัวอายุน้อยสุดในโลกคนใหม่ แทนที่ แมทธิว โมนิซ เด็กชายวัย 10 ขวบ จากรัฐโคโลราโด ที่เป็นเจ้าของสถิติก่อนหน้านี้

วาฬนำร่อง 39 ตัว เกยตื้นตายริมหาดนิวซีแลนด์


วาฬนำร่อง 39 ตัว เกยตื้นตายริมหาดนิวซีแลนด์

วาฬนำร่อง 39 ตัว เกยตื้นตายริมหาดนิวซีแลนด์


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คุณ ITN สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม

            วาฬนำร่อง 39 ตัว เกยตื้นตายริมหาดในเกาะทางตอนใต้ของนิวซีแลนด์ ด้านกรมอนุรักษ์เผยช่วยไม่ทันเพราะกระแสลมแรง ชี้ไม่ใช่เหตุการณ์ผิดปกติ

            วันที่ 6 มกราคม 2556 สำนักข่าวเอเอฟพี มีรายงานว่า บริเวณเกาะทางตอนใต้ของประเทศนิวซีแลนด์ ได้มีวาฬนำร่องถึง 39 ตัว ขึ้นมาเกยตื้นตายบนชายหาด โดยพวกมันถูกพบเป็นครั้งแรกในบริเวณน้ำตื้นนอกชายฝั่งของเขตอุทยานแห่งชาติเบลแทสมัน เมื่อบ่ายวันที่ 5 มกราคมที่ผ่านมา ด้านกรมอนุรักษ์ของนิวซีแลนด์เผยว่า นี่ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ เพียงแต่กระแสลมแรงทำให้เรือไม่สามารถเข้าไปช่วยต้อนวาฬเหล่านี้ออกจากพื้นที่อันตรายได้ 

            รายงานระบุว่า เมื่อเจ้าหน้าที่กลับไปยังจุดดังกล่าวในช่วงเช้าวันรุ่งขึ้น (6 มกราคม) ก็ได้พบว่า วาฬฝูงดังกล่าวทั้ง 39 ตัวได้ขึ้นมาเกยตื้นบนชายหาดเสียแล้ว โดยมี 12 ตัวที่ตายแล้ว ขณะที่วาฬตัวอื่น ๆ ต่างก็ตายไปในเวลาต่อมา หลังจากที่ระดับน้ำทะเลลดระดับลงเรื่อย ๆ

            ทั้งนี้ กรมอนุรักษ์เผยว่า เหตุการณ์เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องผิดปกติในช่วงฤดูร้อนของนิวซีแลนด์ และวาฬก็มักจะกลับเข้ามาเกยตื้นบนหาดอีกครั้งหลังจากถูกพัดออกไป โดยวาฬนำร่องเหล่านี้มักจะมารวมฝูงกันเป็นปกติบริเวณชายหาดของนิวซีแลนด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเดือนพฤศจิกายน-มีนาคม

เม็กซิโกพบวาฬสีเทาตัวติดเหมือนแฝดอินจัน ลอยตายในทะเล

วาฬสีเทาตัวติดกัน

วาฬสีเทาตัวติดกัน



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก HO / CONANP / AFP

           ชาวประมงเม็กซิกัน พบซากลูกวาฬสีเทาฝาแฝดที่มีตัวติดกัน เหมือนแฝดอินจัน ลอยตายอยู่ในทะเลปิดของเม็กซิโก ด้านนักชีววิทยาทางทะเลยเผย เป็นการค้นพบที่หาได้ยาก

           สำนักข่าวเอเอฟพี มีรายงานเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2557 ว่า ชาวประมงเม็กซิกัน พบซากลูกวาฬสีเทาฝาแฝดที่มีตัวติดกันในลักษณะเหมือนแฝดอินจัน ขนาดลำตัวยาว 4 เมตร ลอยตายอยู่ในทะเลปิดโอโฮ เด เลียเบร ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเม็กซิโก ซึ่งเชื่อมต่อกับมหาสมุทรแปซิฟิก ในคาบสมุทรบาฮากาลิฟอร์เนีย ซึ่งนับเป็นการค้นพบที่หาได้ยากยิ่ง

           ด้านคณะกรรมาธิการว่าด้วยเขตอนุรักษ์ธรรมชาติแห่งชาติเม็กซิโก (CONANP) ได้เดินทางไปตรวจสอบลูกวาฬแฝดคู่นี้เมื่อวันที่ 6 มกราคมที่่ผ่านมา โดย  เบนีโต เบร์มูเดซ นักชีววิทยาทางทะเล และผู้จัดการประจำภูมิภาคของ CONANP เผยว่า วาฬแฝดคู่นี้มีส่วนเอวติดกัน ขณะที่ส่วนหัวและครีบหางนั้นถูกแยกออกจากกันอย่างสมบูรณ์ ซึ่งนับเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง และเขาไม่เคยพบเห็นมาก่อนในพื้นที่แถบนี้

           ขณะนี้ ซากวาฬแฝดคู่นี้ได้อยู่ระหว่างการตรวจสอบโดยนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งยังได้มีการวางแผนเพื่อตามหาว่ามีวาฬที่มีลักษณะเช่นนี้ ในเขตสงวนพันธุ์วาฬสีเทา ซึ่งตั้งอยู่นอกชายฝั่งบาฮากาลิฟอร์เนียอีกหรือไม่ด้วย

           ทั้งนี้ ในทุก ๆ ฤดูหนาว วาฬสีเทาหลายร้อยตัวจะอพยพจากทะเลเบริง มายังน่านน้ำในคาบสมุทรบาฮากาลิฟอร์เนียที่อบอุ่นกว่า โดยในช่วงเวลาดังกล่าวจะมีนักท่องเที่ยวแห่กันมารอวาฬเหล่านี้ ที่ไม่ค่อยจะปรากฎตัวออกมาให้เห็นบ่อยนัก และในช่วงฤดูหนาวระหว่างปี 2555-2556 นี้ ก็มีวาฬสีเทาปรากฏตัวออมาให้เห็นในพื้นที่แถบนี้ถึง 1,200 ตัวเลยทีเดียว

สหรัฐฯ หนาวจัดถึงตาย อุณหภูมิต่ำสุด -51 องศา


สหรัฐฯ หนาวจัดถึงตาย อุณหภูมิต่ำสุด -51 องศา

สหรัฐฯ หนาวจัดถึงตาย อุณหภูมิต่ำสุด -51 องศา

สหรัฐฯ หนาวจัดถึงตาย อุณหภูมิต่ำสุด -51 องศา


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คุณ CricketClassicVideos สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม

            สหรัฐฯ เผชิญสภาพอากาศหนาวจัดต่ำสุดถึง -51 องศาเซลเซียส ทางการเตือนหนาวระดับอันตราย ควรอยู่แต่ในบ้าน

            เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2557 สำนักข่าวเอพี รายงานว่า สหรัฐฯ เผชิญสภาพอากาศหนาวจัดระดับอันตราย บางพื้นที่ต่ำสุดถึง -51 องศาเซลเซียส ทางการประกาศภาวะฉุกเฉินในหลายรัฐ เตือนประชาชนอยู่แต่ในที่พักอาศัย เลี่ยงการสัมผัสสภาพอากาศหนาวจัดภายนอกในช่วงนี้

            รายงานระบุว่า ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา หลายรัฐในสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับสภาพอากาศหนาวที่สุดในรอบ 20 ปี และมีแนวโน้มจะหนาวที่สุดเป็นประวัติการณ์ในเร็ว ๆ นี้ โดยจากรายงานสภาพอากาศของสำนักงานสภาพอากาศแห่งชาติสหรัฐฯ ระบุว่า ในเมืองฟาร์โก รัฐนอร์ธ ดาโกตา อุณหภูมิหนาวเย็นกว่า -25 องศาเซลเซียส, รัฐมินเนสโซตา -35 องศาเซลเซียส, รัฐอินเดียน่าและอิลลินอยส์ -26 องศาเซลเซียส ขณะที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของรัฐมอนแทนา หนาวจัดถึงขั้น -51 องศาเซลเซียส ระดับที่น้ำเดือดสามารถกลายเป็นน้ำแข็งระหว่างเทลงพื้นเลยทีเดียว ทำให้หลายเมืองต้องประกาศหยุดเรียนและสำนักงานบางแห่งในวันที่ 6-7 มกราคมนี้ เพื่อป้องกันอันตรายจากสภาพอากาศ โดยเฉพาะกับเด็ก ๆ

            นอกจากสภาพอากาศหนาวเหน็บจะเป็นอันตรายต่อประชาชนแล้ว ในหลายรัฐประชาชนยังไม่สามารถเดินทางออกไปไหนได้ เนื่องจากมีหิมะตกลงมาปกคลุมถนนหนากว่า 1 ฟุต จนทำให้ทางการต้องปิดถนนหลายสาย เช่น รัฐอิลลินอยส์ ทางการได้ประกาศปิดถนนหลังถูกหิมะปกคลุมหนา และเตือนประชาชนให้อยู่แต่ภายในบ้าน

            ส่วนการเดินทางทางอากาศก็ได้รับผลกระทบไม่น้อย โดยมีรายงานว่า เมื่อวันที่ 5 มกราคมที่ผ่านมา เครื่องบินจากโตรอนโตที่กำลังแลนดิ้งลงจอดที่สนามบินนานาชาติเคนเนดี้ ในมหานครนิวยอร์ก ได้เกิดไถลออกนอกรันเวย์อันมีสาเหตุมาจากหิมะที่ปกคลุมรันเวย์ โชคดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้ แต่ก็ทำให้ทางสนามบินหยุดให้บริการไปชั่วคราว เช่นเดียวกับสนามบินอีกหลายแห่งที่ต้องยกเลิกเที่ยวบินรวมแล้วไม่ต่ำกว่า 2,200 เที่ยว จากอุปสรรคด้านสภาพอากาศ

            ทั้งนี้ สภาพอากาศหนาวจัดระดับอันตรายในสหรัฐฯ ระลอกนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่สหรัฐฯ ต้องเผชิญกับพายุหิมะอย่างหนักในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และนับตั้งแต่อุณหภูมิลดต่ำถึงขั้นที่เรียกว่าภัยหนาว ก็มีผู้เสียชีวิตไปแล้วไม่ต่ำกว่า 16 รายทั่วประเทศ

ประภาคารในสหรัฐฯ ถูกน้ำแข็งเกาะเหมือนหนังวันสิ้นโลก


ประภาคาร
แฟ้มภาพ

ประภาคาร
แฟ้มภาพ
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก cvltnation

              ประภาคารหลายแห่งในสหรัฐฯ ถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็ง หลังเผชิญกับอากาศหนาวยะเยือก

              เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2557 เว็บไซต์เดลี่เมลของอังกฤษ รายงานว่า ประภาคารหลายแห่งในรัฐมิชิแกน สหรัฐฯ ถูกน้ำแข็งเกาะจนกลายเป็นประติมากรรมตระการตา คล้ายกับฉากในหนัง The Day After Tomorrow จากสภาพอากาศที่หนาวเหน็บสุดขั้วในสหรัฐฯ ช่วงนี้
            
              รายงานระบุว่า ประภาคารเหล่านี้ตั้งตระหง่านอยู่ริมทะเลสาบที่มีคลื่นซัดชายฝั่งขึ้นมาอย่างต่อเนื่องและมีลมพัดแรง และอากาศหนาวเหน็บสุดขั้วก็ทำให้ละอองน้ำบวกกับความชื้นในอากาศกลายเป็นน้ำแข็งเกาะประภาคาร กลายเป็นประติมากรรมที่งดงาม

              ทั้งนี้ ในช่วงเดือนที่ผ่านมา สหรัฐฯ เผชิญกับพายุฤดูหนาวต่อเนื่อง ตามด้วยสภาพอากาศที่หนาวยะเยือกถึงขั้นหนาวที่สุดในรอบ 20 ปีในขณะนี้ จึงทำให้หลายพื้นที่ปกคลุมด้วยหิมะและน้ำแข็งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน บางพื้นที่หนาวจัดถึงขั้น -50 องศาเซลเซียส ซึ่งนั่นทำให้ทางการต้องออกประกาศเตือนประชาชนให้ระมัดระวังตัวเอง หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับอากาศหนาวเหน็บนี้โดยไร้เสื้อผ้าอาภรณ์ เพราะเป็นความหนาวเหน็บที่อาจทำให้ถึงตายได้เลยทีเดียว

สหรัฐฯ ถูกแช่แข็งทั้งแผ่นดิน เตรียมรับมืออากาศเย็นลงอีก

สหรัฐฯ ถูกแช่แข็งทั้งแผ่นดิน เตรียมรับมืออากาศเย็นลงอีก
(ภาพประกอบจาก SCOTT OLSON / GETTY IMAGES NORTH AMERICA / AFP)

สหรัฐฯ ถูกแช่แข็งทั้งแผ่นดิน เตรียมรับมืออากาศเย็นลงอีก
(ภาพประกอบจาก SCOTT OLSON / GETTY IMAGES NORTH AMERICA / AFP)

สหรัฐฯ ถูกแช่แข็งทั้งแผ่นดิน เตรียมรับมืออากาศเย็นลงอีก
(ภาพประกอบจาก SCOTT OLSON / GETTY IMAGES NORTH AMERICA / AFP)
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          สหรัฐฯ เผชิญสภาพอากาศหนาวจนหลายแห่งกลายเป็นน้ำแข็ง ทางการประกาศเตรียมรับมืออากาศที่จะต่ำลงอีก
          เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2557 เว็บไซต์สกายนิวส์ รายงานว่า พื้นที่ฝั่งตะวันออกและใต้ของสหรัฐฯ กำลังเผชิญสภาพอากาศหนาวยะเยือกระดับที่ทำให้หลายพื้นที่กลายเป็นน้ำแข็ง และจะยังคงหนาวจัดต่อเนื่องตลอดสัปดาห์นี้

          รายงานระบุว่า จากภาวะหนาวจัดที่เกิดจากปรากฏการณ์โพลาร์ วอร์เท็กซ์ หรือลมวนขั้วโลก ที่พัดเข้าสู่ฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้พื้นที่กว่าครึ่งประเทศตอนนี้เผชิญกับภาวะหนาวจัดระดับอันตรายต่อเนื่องมาหลายวันแล้ว  กระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชนกว่า 187 ล้านคนทั่วประเทศ ขณะที่หลายพื้นที่ก็ถูกปกคุลมไปด้วยน้ำแข็ง ทะเลสาบและแหล่งน้ำหลายแห่งถูกแช่แข็งและปกคลุมไปด้วยไอเย็น ราวกับโลกกำลังจะเข้าสู่ยุคน้ำแข็งอย่างไรอย่างนั้น

          สำหรับอุณหภูมิสภาพอากาศนั้นก็อยู่ที่ระดับติดลบแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ เช่น ในเมืองแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี อยู่ที่ -17 องศาเซลเซียส, เมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ อุณหภูมิต่ำถึง -24 องศาเซลเซียสในตอนกลางคืน, เมืองเบอร์มิงแฮม รัฐแอละแบมา อยู่ที่ -14 องศาเซลเซียส ทุบสถิติหนาวเย็นที่สุดในรอบ 45 ปี, รัฐเคนตักกี้ อุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ -29 องศาเซลเซียส ส่วนนิวยอร์ก มหานครแห่งเศรษฐกิจของสหรัฐฯ กำลังถูกปกคลุมไปด้วยหิมะหนา อุณหภูมิอยู่ที่ -12 องศาเซลเซียส และมีการประกาศภาวะฉุกเฉินเช่นเดียวกับหลายเมืองที่ประกาศไปก่อนหน้านี้แล้ว หลังทางการพบแนวโน้มว่าอุณหภูมิอากาศอาจลดต่ำลงไปอีก


สหรัฐฯ ถูกแช่แข็งทั้งแผ่นดิน เตรียมรับมืออากาศเย็นลงอีก
(ภาพประกอบจาก SCOTT OLSON / GETTY IMAGES NORTH AMERICA / AFP)

          ส่วนพื้นที่ที่ได้รับการพูดถึงมากที่สุดตามหน้าสื่อมวลชนทั่วโลกขณะนี้ เห็นทีว่าจะเป็นรัฐมิชิแกน ที่ล่าสุดมีการเผยภาพทะเลสาบมิชิแกนที่บางส่วนก็กลายเป็นน้ำแข็ง บางส่วนก็มีไอเย็นหนาลอยฟุ้งบนพื้นผิวน้ำ ขณะที่สิ่งก่อสร้างและพื้นผิวดินก็ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน คล้ายกับฉากในหนัง The Day After Tomorrow 

          อย่างไรก็ดี ทางการได้ประกาศว่า แม้ว่าอุณหภูมิอากาศตอนนี้จะเย็นยะเยือกจนทุบสถิติหนาวที่สุดในรอบ 20 ปีแล้ว และคร่าชีวิตชาวอเมริกันไปแล้ว 16 ราย แต่อุณหภูมิอากาศจะหนาวเย็นมากกว่านี้ในอีก 2-3 วันข้างหน้า โดยหลายพื้นที่อาจต้องเผชิญกับสภาพอากาศหนาวระดับ -40 องศาเซลเซียส 


          จากภาวะหนาวเย็นทั้งประเทศดังกล่าว ได้ทำให้โรงเรียนหลายแห่งในหลายรัฐ ประกาศหยุดเรียนตั้งแต่วันจันทร์ เช่นเดียวกับสำนักงานหลายแห่ง ที่ต้องยอมแพ้ความหนาวเย็น ประกาศหยุดทำการให้ประชาชนอาศัยอยู่แต่ในบ้าน ขณะที่ทางการสหรัฐฯ ก็ได้เปิดศูนย์ช่วยเหลือประชาชน เพื่อให้ประชาชนทั่วไปและคนไร้บ้านได้เข้ามาพักพิงเพื่อความอบอุ่นในช่วงวิกฤตหนาวนี้แล้ว

          ทั้งนี้ นอกจากสหรัฐฯ แล้ว ทางตะวันออกของแคนาดาก็เผชิญกับวิกฤตสภาพอากาศหนาวยะเยือกเช่นเดียวกัน



(ภาพประกอบจาก SCOTT OLSON / GETTY IMAGES NORTH AMERICA / AFP)

สหรัฐฯ ถูกแช่แข็งทั้งแผ่นดิน เตรียมรับมืออากาศเย็นลงอีก
(ภาพประกอบจาก SCOTT OLSON / GETTY IMAGES NORTH AMERICA / AFP)

สหรัฐฯ ถูกแช่แข็งทั้งแผ่นดิน เตรียมรับมืออากาศเย็นลงอีก
(ภาพประกอบจาก LUKE SHARRETT / GETTY IMAGES NORTH AMERICA / AFP)

สหรัฐฯ ถูกแช่แข็งทั้งแผ่นดิน เตรียมรับมืออากาศเย็นลงอีก
(ภาพประกอบจาก LUKE SHARRETT / GETTY IMAGES NORTH AMERICA / AFP)

สหรัฐฯ ถูกแช่แข็งทั้งแผ่นดิน เตรียมรับมืออากาศเย็นลงอีก
(ภาพประกอบจาก LUKE SHARRETT / GETTY IMAGES NORTH AMERICA / AFP)

สหรัฐฯ ถูกแช่แข็งทั้งแผ่นดิน เตรียมรับมืออากาศเย็นลงอีก
(ภาพประกอบจาก LUKE SHARRETT / GETTY IMAGES NORTH AMERICA / AFP)

สหรัฐฯ ถูกแช่แข็งทั้งแผ่นดิน เตรียมรับมืออากาศเย็นลงอีก
(ภาพประกอบจาก  Darren Hauck / GETTY IMAGES NORTH AMERICA / AFP)

สหรัฐฯ ถูกแช่แข็งทั้งแผ่นดิน เตรียมรับมืออากาศเย็นลงอีก
(ภาพประกอบจาก SCOTT OLSON / GETTY IMAGES NORTH AMERICA / AFP)

สารเคมีรั่วลงน้ำประปาในอเมริกาหลายพื้นที่ ชาวบ้านแห่กักตุนน้ำดื่ม



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก america.aljazeera.com

          ชาวเวสต์ เวอร์จิเนีย แห่ซื้อน้ำดื่มไปกักตุน หลังเกิดเหตุสารเคมีรั่วไหลลงน้ำประปาจนทางการสั่งห้ามบริโภค พร้อมประกาศพื้นที่ฉุกเฉิน ยังบอกไม่ได้ว่าจะแก้ปัญหาได้เมื่อไร

          เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2557 สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า ผู้อยู่อาศัยกว่า 3 แสนคนในรัฐเวสต์ เวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา ต่างถูกสั่งห้ามไม่ให้ดื่มน้ำประปาจากก็อก หลังจากที่มีข่าวว่า มีสารเคมีรั่วไหลลงในน้ำประปา จนทำให้ประชาชนเป็นห่วงในเรื่องความปลอดภัยในการใช้น้ำประปาอุปโภคบริโภค และเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขก็ออกมากล่าวว่า น้ำที่ปนเปื้อนนั้นใช้ได้เฉพาะการกดชักโครกและดับไฟไหม้เท่านั้น

          นายเจฟฟ์ แมคอินไตย์ ประธานของบริษัทเวสต์ เวอร์จิเนีย อเมริกัน ซึ่งเป็นบริษัทบำบัดน้ำเสียที่ใหญ่ที่สุดของรัฐ กล่าวว่า เราไม่รู้มาก่อนว่าน้ำประปาไม่ปลอดภัย แต่ผมก็ไม่สามารถพูดได้ว่า น้ำประปานั้น สามารถใช้บริโภคได้อย่างปลอดภัย ซึ่งทางบริษัทได้ทดสอบน้ำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่เขาไม่สามารถบอกได้ว่าเมื่อไร ที่จะสามารถประกาศให้ว่าน้ำประปานั้นปลอดภัยสำหรับการใช้อุปโภคบริโภค

          ด้านผู้ว่าการรัฐ นายเอิร์ล เรย์ ทอมบลิน ได้ประกาศเหตุฉุกเฉินใน 9 พื้นที่ และนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ก็ได้ออกประกาศฉุกเฉินเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา และผลจากการที่สารพิษรั่วไหลลงในน้ำ ก็ทำให้โรงเรียนและธุรกิจอื่น ๆ ถูกสั่งปิด

          ทั้งนี้ สาร 4 เมธิลไซโคลเฮกซิน เมธานอล หรือ MCHM ซึ่งเป็นสารเคมีที่ใช้ในอุตสาหกรรมถ่านหิน เกิดรั่วไหลลงในน้ำแม่น้ำเอลค์ในเมืองชาร์ลสตัน รัฐเวสต์ เวอร์จิเนีย ซึ่งถือเป็นเมืองหลวงของรัฐและเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในรัฐนี้ โดยที่บริษัทเวสต์ เวอร์จิเนีย อเมริกัน วอเตอร์ รับหน้าที่เป็นบริษัทบำบัดน้ำเสียและแจกจ่ายน้ำประปา เผยว่า น้ำที่ปนเปื้อนสารเคมีนั้นจะมีกลิ่นคล้ายกับชะเอม และทางบริษัทไม่สามารถบอกได้ว่า ปริมาณของสารเคมีที่รั่วไหลลงไปในน้ำนั้น มีจำนวนมากเท่าไหร่

          ด้านโฆษกของบริษัทบำบัดน้ำเสีย ได้ออกมาเผยว่า สารเคมีชนิดนี้อาจเป็นอันตรายหากดื่มลงไป และอาจก่อให้เกิดอาการแพ้ที่ผิวหนังและดวงตา

          สารเคมีชนิดนี้ รั่วไหลออกมาจากบริษัท ฟรีดอม อินดัสตรี อันเป็นบริษัทในเมืองชาร์ลสตันที่ผลิตสารเคมีเฉพาะสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมถ่านหิน เหล็ก และซีเมนต์ ซึ่งในตอนนี้ ทางบริษัทฟรีดอม อินดัสตรี กำลังประเมินว่า มีสารเคมีที่รั่วไหลลงไปในน้ำเป็นจำนวนเท่าไหร่

          อย่างไรก็ตาม หลังจากที่มีข่าวเรื่องสารเคมีรั่วไหลลงไปในน้ำ ก็ทำให้มีคนจำนวนมากแห่ซื้อน้ำดื่มไว้กักตุนจนเกลี้ยงห้างสรรพสินค้า ซึ่งผู้อยู่อาศัยในละแวกนั้น ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า "นี่มันบ้าไปแล้ว ไม่มีที่ไหนที่ผมจะซื้อน้ำดื่มได้เลย และน้ำดื่มเหมือนจะขายหมดแล้วทุกที่"